NEVERDIE - COLUMN
วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555
เนเวอร์ดายทัวว์ ชลบุรี-ระยอง
9.00 น ถึง อันเดอร์วอเตอร์ เวิลด์ พัทยา
http://203.156.56.185/work/52/travel1/picture/Under_water_world_07.jpg
อันเดอร์วอเตอร์ เวิลด์ พัทยา (Underwater World Pattaya) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งทำให้ผู้มาเยือนเหมือนกับได้เดินทางดำดิ่งลงสู่โลกใต้ทะเล โดยเริ่มจากชายฝั่งอันเป็นหาดทรายและแก่งหิน ลงลึกไปยังดงปะการังสีสันสดใส จนถึงท้องทะเลลึก นักท่องเที่ยวจะได้เข้าชมในอุโมงค์ซึ่งสร้างเป็นทางลอดไปในอะควาเรียมขนาดใหญ่ ที่จำลองสภาพแวดล้อมธรรมชาติใต้ทะเลไว้อย่างสวยงามและใกล้ชิด
อันเดอร์วอเตอร์ เวิลด์ พัทยา เปิดดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 ในเนื้อที่ 12 ไร่ และมีสัตว์น้ำมากกว่า 4,500 ตัว จาก 200 กว่าชนิด โดยจัดแสดงสัตว์น้ำไว้ในอาคารได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ มีการสร้างเป็นอุโมงค์กระจกใสที่ยาวมากกว่า 100 เมตร นับเป็นอุโมงค์กระจกใสที่ยาวที่สุดของเอเชีย มีสัตว์ทะเลหลายชนิดจัดแสดง ตั้งแต่สัตว์ขนาดเล็กอย่างปลาการ์ตูน ม้าน้ำ ไปจนถึงสัตว์อย่างฉลาม กระเบนขนาดใหญ่ และนากเล็กเล็บสั้น เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีบ่อสัมผัส (Touch Pool) ให้นักท่องเที่ยวจุ่มมือลงไปสัมผัสสัตว์ทะเลที่มีนิสัยเป็นมิตรบางชนิดได้อย่างปลอดภัย อาทิ ปลาดาว ฉลามกบ ฯลฯ
10.30 น.เดินทางสู่จังหวัดระยอง
11.30 น
เนเวอร์ดายทัวว์ ชลบุรี-ระยอง
9.00 น ถึง อันเดอร์วอเตอร์ เวิลด์ พัทยา
[img]http://203.156.56.185/work/52/travel1/picture/Under_water_world_07.jpg[/img]
อันเดอร์วอเตอร์ เวิลด์ พัทยา (Underwater World Pattaya) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งทำให้ผู้มาเยือนเหมือนกับได้เดินทางดำดิ่งลงสู่โลกใต้ทะเล โดยเริ่มจากชายฝั่งอันเป็นหาดทรายและแก่งหิน ลงลึกไปยังดงปะการังสีสันสดใส จนถึงท้องทะเลลึก นักท่องเที่ยวจะได้เข้าชมในอุโมงค์ซึ่งสร้างเป็นทางลอดไปในอะควาเรียมขนาดใหญ่ ที่จำลองสภาพแวดล้อมธรรมชาติใต้ทะเลไว้อย่างสวยงามและใกล้ชิด
อันเดอร์วอเตอร์ เวิลด์ พัทยา เปิดดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 ในเนื้อที่ 12 ไร่ และมีสัตว์น้ำมากกว่า 4,500 ตัว จาก 200 กว่าชนิด โดยจัดแสดงสัตว์น้ำไว้ในอาคารได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ มีการสร้างเป็นอุโมงค์กระจกใสที่ยาวมากกว่า 100 เมตร นับเป็นอุโมงค์กระจกใสที่ยาวที่สุดของเอเชีย มีสัตว์ทะเลหลายชนิดจัดแสดง ตั้งแต่สัตว์ขนาดเล็กอย่างปลาการ์ตูน ม้าน้ำ ไปจนถึงสัตว์อย่างฉลาม กระเบนขนาดใหญ่ และนากเล็กเล็บสั้น เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีบ่อสัมผัส (Touch Pool) ให้นักท่องเที่ยวจุ่มมือลงไปสัมผัสสัตว์ทะเลที่มีนิสัยเป็นมิตรบางชนิดได้อย่างปลอดภัย อาทิ ปลาดาว ฉลามกบ ฯลฯ
10.30 น.เดินทางสู่จังหวัดระยอง
11.30 น
วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Begin Of The Beautiful War (ปฐมบทของสงครามนางฟ้า)
เรื่องราวระหว่างทีมอาร์เซนอล กับทีมบาร์เซโลน่า ในประวัติศาสตร์ลูกหนัง แทบจะไม่มีความบาดหมางเรื่องขุ่นเคืองให้กับสาวกแฟนบอลของทั้งฝ่ายเลย
ย้อนเวลากลับไปในฤดูกาล 2005-2006 ทีมเดอะกันเนอร์ส ของเวนเกอร์ภายใต้ระบบการเล่น โฟร์ โฟร์ ทู แบบเบ็ดเสร็จ ทีมอาร์เซนอลยุคนั้นเล่นบอลพาสซิ่ง สลับกับการโจมตีทางด้านข้างอย่างดุดัน โดยใช้บริการศูนย์หน้าสองตัว
หน้าต่ำประดุจดั่งเพลย์เมกเกอร์ยุคปัจจุบัน คอยลงต่ำมาล้วงบอล และจ่ายบอลคิลเลอร์พาสคมกริบ ให้กับคู่หูแดนยิงประตู ขันอาสาโดย ไอซ์เบิร์ก เดนิส เบิร์กแคมป์ โดยมี โฮเซ่ อันโตนิโอ เรเยส กับ โรบิน ฟานเพอร์ซี่ย์ ในวัยกระทงคอย สลับปรับเปลี่ยน
หน้าเป้าหรือสไตร์ทเกอร์ หน้าที่เป็นตัวเบิกสกอร์ ในยุคนั้นคงหนีไม่พ้น เธียร์รี่ อองรี ราชาของแฟนทีมปืนใหญ่ ณ.ถิ่นไฮบิวรี่
มิดฟิลด์โจมตีทางด้านข้าง มีหลายแบบหลายสไตล์ให้เวนเกอร์เลือกใช้งาน ถ้าต้องการพวกความเร็วสูง ก็ถอยเรเยสมาโจมตีทางฝั่งซ้าย ถ้าต้องการพวกจมูกไวสัญชาตญาณการทำประตูเยี่ยม ก็ใช้ เฟร็ดดริก ลุงเบิร์ก กับพี่ปู โรแบร์ ปีแรส มาขนาบทั้ง 2 ข้าง หรือถ้าต้องการพวกพลิ้วไหว เทคนิคขั้นสูง ก็ใช้งาน อเล็กซานเดอร์ เคล็บ มิดฟิลด์ตีนตะขาบ ชาวเบเลารุส
มิดฟิลด์คู่กลางเวนเกอร์ใช้บริการ เชสก์ ฟาเบรกัส ในวัยหัวนมกำลังแตกพาน กับพาร์ทเนอร์คู่หูมนุษย์ล่องหนชาวบราซิล จิลแบร์โต้ ซิลวา โดยที่มี มาติเยอ ฟลามินี่ มิดฟิลด์จอมขยันเป็นแบ็คอัพให้
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เข้าเรื่องกันดีกว่าครับ ทีมปืนใหญ่ชุดลุย UCL ปีนั้นเป็นครั้งแรกที่เวนเกอร์เลือกชิมลางเปลี่ยนระบบแผนการเล่นใหม่จาก 4-4-2 เป็น 4-5-1 Attacking
เวนเกอร์เลือกใช้งานศูนย์หน้าตัวเดียว นั่นคือ คิงอองรี ที่สามารถพาบอลไปตัว ชงเอง ชิมเอง จบสกอร์ได้เอง โดยที่ไม่ต้องใช้คู่หูพาร์ทเนอร์คอยป้อน
แผงมิดฟิลด์ก็ยืนเป็นระบบหน้ากระดานเหมือนเดิม 4 ตัว คู่กลางคู่เก่า จิลแบร์โต้กับเชสก์ ส่วนด้านขวา ใช้เคล็บ ด้านซ้ายสลับโรเตชั่นกันระหว่างปีแรสกับเรเยส แต่ระบบนี้พิเศษตรงเพิ่มมิดฟิลด์ตัวฟรีมาอีก 1 ตัว ตำแหน่งการยืนอยู่หน้ามิดฟิลด์ 4 ตัวที่กล่าวไปข้างต้น
หน้าที่ของมิดฟิลด์ตัวฟรีนี้ คือคอยวิ่งบีบเพรสซิ่ง ทำลายจังหวะคู่แข่ง ก่อนที่บอลจะมาถึงแผงมิดฟิลด์สแตนดาร์ททั้ง 4 ตัว หน้าที่ตำแหน่งนี้เวนเกอร์มอบหมายให้ลุงเบิร์กเป็นคนจัดการ
แผนนี้สำแดงผลกว่าที่คิดไว้มาก ทั้งกำราบทีม รีล มาดริดคาถิ่น ซานติเอโก้ เบอร์นาบิว และจัดการทีมที่มีเกมรับที่ดีทีสุดในยุคนั้นคือทีมยูเวนตูส ที่มี ฟาบิโอ คันนาวาโร่ กับ จิอันลุยจิ บุฟ่อน ในช่วงพีคๆ สุดท้ายยังดับซ่าทีมน้องใหม่ร้ายบริสุทธ์ถ้วยหูโตอย่างทีม บียาร์รีลไปฉิวเฉียด
ในที่สุดปฐมบทแห่งสงครามนางฟ้าก็อุบัติเป็นครั้งแรก ทีมที่มีเกมรุกสวยงามแห่งยุค ทั้ง 2 ทีมก็มาบรรจบกัน !!!
ทีมบาร์เซโลน่าที่มีตัวชูโรงอย่าง โรนัลดินโญ่ กับทีมไอ้ปืนใหญ่ที่มี คีย์แมนอย่าง เธียร์รี่ อองรี นักเตะทั้งสองคนนี้ ต่างถูกกล่าวขานว่าเป็นเตะที่ดีที่สุดของเวลานั้น
ส่วนผลการแข่งขันเกมนั้น ดราม่ายิ่งกว่าละครชีวิต เริ่มต้นด้วย เยนส์ เลห์มัน ผู้รักษาประตูทีมปืนใหญ่ ทำฟาวล์ผู้เล่นบาร์ซ่านอกเขตโทษ กรรมการให้ใบแดงโดนไล่ออกจากสนาม เริ่มต้นเกมไม่กี่นาที ทีมปืนใหญ่เหลือผู้เล่นเพียง 10 คน
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจโซล แคมพ์เบลล์ โหม่งบอลผ่านมือวัลเดส ทำให้ทีมอาร์เซนอลขึ้นนำไปก่อนอย่างสุดเซอร์ไพร์ท 1-0
เกมครึ่งหลัง ทีมบาร์เซโลนาเดินเครื่องบุกเต็มที่ ทำประตูตีเสมอ และทำประตูหนีห่างไปเป็น 2-1 จากการยิงของ เบเล็ตติ แบ็คขวาชาวบราซิล จากจังหวะที่ได้บอลหน้าเขตโทษ และแปลอดหว่างขาอัลมูเนียเข้าไป จบเกมบาร์เซโลนาคว้าถ้วยหูโตไปนอนกอดอย่างสบายอุรา
ท่ามกลางความโศกเศร้าของทีมปืนใหญ่ อุบัติเกิดเป็นความแค้นเล็กๆของเหล่าสาวกเดอะกูนเนอร์ส ยิ่งไปกว่านั้น 2 ปีถัดมายอดทีมจากแดนกระทิงดุยังพรากคิงอองรี กัปตันที่เป็นรักของแฟนอาร์เซนอลไปอีก ยิ่งทวีความแค้นของเหล่าสาวกเดอะกูนเนอร์สขึ้นอีกไปเรื่อยๆ
ตลอดจนถึงฤดูกาลที่แล้วทั้ง 2 ทีมก็กลับมาโคจรพบอีกครั้งในรอบ 8 ทีม ฟุตบอลถ้วยใหญ่ของยุโรป ผลปรากฎว่าทีมปืนใหญ่พ่ายไปแบบหมดทางสู้ 2 นัดเหย้าเยือนพ่ายไปรวมทั้งสิ้น 6-3 ประตู
บวกกับเรื่องราวข่าวคราวของกัปตันทีมคนปัจจุบัน ที่ถูกทีมต่างดาวเล่นสงครามสื่อ จน เชสก์ ฟาเบรกัสออกอากาไขว้เขว่มาแล้วช่วงก่อนเปิดซีซั่น
ความแค้นของแฟนทีมปืนใหญ่ยิ่งประทุขึ้นเรื่อยๆดั่งกับภูเขาไฟใกล้ระเบิด ถ้าไม่เชื่อลองถามแฟนทีมอาร์เซนอลซิ ทีมในยุโรปที่ไม่ใช่ทีมในลีกเดียวกัน ทีมไหนที่แฟนปืนใหญ่เกลียดชังที่สุด แน่นอนทีมบาร์เซโลน่าจะอยู่อับดับหนึ่งครองใจเสมอ
ไม่รู้ว่าบังเอิญโลกกลมหรือพรมลิขิต ฤดูกาลนี้เอง ทีมปืนใหญ่ถูกจับฉลากบนโถมาอยู่เคียงข้างทีมบาร์ซ่าอีกครั้ง ไม่รู้ว่าวันพุธที่ 16 กพ ที่จะถึง ทีมปืนใหญ่จะถอนแค้นได้ หรือยิ่งเพิ่มความแค้นขึ้นไปอีก
แต่ที่แน่ๆเกมนี้จะเป็นกำไรของแฟนบอลที่จะเห็นทีมที่เล่นฟุตบอลสวยงามสไตส์นางฟ้าแห่งยุคนี้ทั้ง 2 ทีม มาสู้ด้วยกันแบบไร้แทคติคเกมรับให้อึดอัดใจ แล้วติดตามชมกันครับว่าใครจะอยู่หรือไป ส่วนผมไม่พลาดเกมนี้แน่นอนอยู่แล้ว หุหุ
ปล.ถ้าเนื้อหาบทความผิดพลาดประการใด ขออภัยมาในที่นี้ด้วยนะครับ
NEVERDIE CLUB
วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ขวบปีที่ 3 ของนาสรี่ กับการก้าวขึ้นสู่ซุปเปอร์สตาร์เต็มขั้น
แต่ในเรื่องแย่ๆของเหล่านักเตะปืนโต กลับมีนักเตะอยู่รายหนึ่ง ที่่มีผลงานสม่ำเสมอมาก นับตั้งแต่ช่วงเปิดซีซั่นมานั่นคือ ซาเมียร์ นาสรี่ นักเตะชาวฝรั่งเศสเชื้อสายแอลจีเรีย ย้ายมาร่วมถิ่นเอมิเรตส์ เมื่อ 2 ฤดูกาลที่แล้ว
นาสรี่อดีตนักเตะดาวรุ่งของทีม โอลิมปิก มาร์กเซย์ กับการก้าวเข้ามาสู่รั้วทีมปืนใหญ่ ซึ่งเป็นความฝันของเหล่านักเตะชาวฝรั่งเศสทั้งหลาย ที่หวังให้ อาแซน เวนเกอร์ ขงเบ้งเมืองน้ำหอม ปลุกปั้นให้เขาเป็นซุปเปอร์สตาร์ เฉดเช่นรุ่นพี่ อย่าง เธียร์รี่ อองรี โรแบร์ ปีแรส และ ปาทริค วิเอร่า
ทีนี้พวกเราลองมาติดชมกันว่า 3 ปี ของนาสรี่ เขามีพัฒนาการอย่างไร ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นซุเปอร์สตาร์เต็มตัว
ฤดูกาล 2008-2009 ขวบปีแรกของนาสรี่ กับทีมปืนใหญ่
นาสรี่ย้ายมาร่วมทีมอาร์เซนอล กับการคาดหวังของแฟนบอลว่า เขาจะก้าวเข้ามาทดแทนสตาร์รุ่นพี่อย่าง อเล็กซานเดอร์ เคล็บ ปีกตีนตะขอชาวเบเลารุส ที่เกิดอาการเบื่อชีวิตในลอนดอนอย่างกระทันหัน ย้ายไปร่วมถิ่น คัมป์ นู ของบาซ่า
นาสรี่ประเดิมผลงานนัดแรกได้อย่างสวยงามมาก เขาจัดการซัดประตูโทน ช่วยให้ทีมปืนใหญ่จะเฉือนชนะทีมเวสต์บรอมวิช อัลเบียนไป 1-0 และอีกหนึ่งไฮไลท์ของนาสรี่ในซีซั่นแรกคือ 2 ประตูในถิ่นเอมิเรสต์ ช่วยให้ทีมอาร์เซนอลยัดเยียดความปราชัยให้กับ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป 2-1 แฟนๆ "เดอะเร้ดเดวิล" คงจำชื่อของนาสรี่ไปอีกนาน
นาสรี่กับฤดูกาลแรกของทีมอาร์เซนอล ถือว่าสอบผ่านไปด้วยดี นาสรี่ปรับเข้ากับระบบของทีมปืนใหญ่ได้อย่างรวดเร็วมาก
นาสรี่ลงสนามให้กับทีมไปทุกรายการทั้งหมด 44 นัด ทำประตูได้ 7 ประตู (เฉลี่ย 6 นัด ต่อ 1ประตู)
คะแนนความสามารถขวบปีแรกของนาสรี่
(ปล. ผมจะให้คะแนนเฉพาะลักษณะเด่นๆ ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกเท่านั้น)
การทำประตู 7 คะแนน
ทักษะการเลี้ยงบอล 7.5 คะแนน
การจ่ายบอล 7 คะแนน
ความแข็งแกร่งของร่างกาย 6.5 คะแนน
ความเร็ว 7 คะแนน
ทีมเวิร์ค 7 คะแนน
รวม 42 คะแนน
..........................
ฤดูกาล 2009-2010 ขวบปีที่ 2 ของนาสรี่กับทีมปืนใหญ่
ซีซั่นใหม่เริ่มขึ้นไม่เท่าไหร่ นาสรี่ก็ดวงแตกทันที เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บจากจังหวะที่ประทะกับดิยาบี้ ในช่วงฝึกซ้อมเกมปรีซีซั่นก่อนเปิดฤดูกาล ทำให้นาสรี่ต้องออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ ช้ากว่าเพื่อนร่วมทีมถึงหลายเดือน นาสรี่กลับมาจากอาการบาดเจ็บค่อยๆปรับตัวเข้ากับทีมอย่างเรื่อยๆ หนึ่งในไฮไลท์ซีซั่นที่ 2 ของนาสรี่ คือช็อทที่นาสรี่โซโล่เดี่ยวเลี้ยงบอลล็อคหลบผู้เล่นปอร์โต้หลายคน ก่อนที่จัดการซัดประตูอย่างสุดสวยงาม จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายของนาสรี่ เมื่อเขาไม่ติดทีมชาติฝรั่งเศส ชุดลุยฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่แอฟริกาใต้ ที่ทีมตราไก่เกิดสปิริตแตก ตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างน่าอนาตจิต
ฤดูกาลที่สองของนาสรี่ถือว่าทรงตัว ไม่ดีหรือเลวร้ายซะเกินไป
นาสรี่ลงสนามให้กับทีมไปทุกรายการทั้งหมด 34 นัด ทำประตูได้ 5 ประตู (เฉลี่ย 7 นัด ต่อ 1 ประตู)
คะแนนความสามารถ ขวบปีที่ 2 ของนาสรี่
การทำประตู 7 คะแนน
ทักษะการเลี้ยงบอล 7.5 คะแนน
การจ่ายบอล 7 คะแนน
ความแข็งแกร่งของร่างกาย 7 คะแนน
ความเร็ว 7 คะแนน
ทีมเวิร์ค 7.5 คะแนน
รวม 43 คะแนน
..........................
ฤดูกาล 2010-2011 ขวบปีที่ 3 ของนาสรี่กับทีมปืนใหญ่
ซีซั่นที่ 3 ของนาสรี่กับทีมอาร์เซนอล ดูเหมือนจะสดใสมากขึ้น เพราะนาสรี่ได้พักเต็มที่ในช่วงปิดฤดูกาล นาสรี่เริ่มต้นกับทีมในช่วงต้นฤดูกาลใหม่ ยังมีอาการเจ็บรบกวนบ้างเล็กน้อย แต่เขาก็สลัดอาการบาดเจ็บทิ้งไปพร้อมกับโชว์ผลงานในสนามที่สุดยอด นาสรี่ที่มีความเร็วขึ้น เทคนิคการครองบอลมากขึ้น มีความฟิตมากขึ้น ทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง และมีผลงานอย่างสม่ำเสมอ จนทำให้ใครหลายคนคิดว่าอีกไม่ช้านี้ นาสรี่จะก้าวขึ้นเป็นนักเตะซุบเปอร์สตาร์ระดับเดียวกับ โรนัลโด้หรือเมสซี่
นาสรี่กับช่วงต้นฤดูกาลที่ 3 ของเขาถือว่าทำผลงานได้อย่างสุดยอดมาก พัฒนาจากปีที่แล้วไปหลายขุม โดยเฉพาะการทำประตูที่เฉียบคมมากขึ้น
ฤดูกาลนี้นาสรี่ลงสนามไปทั้งหมด 18 นัด ทำประตูไปได้ 9 ประตู (เฉลี่ย 2 นัด ต่อ1ประตู)
คะแนนความสามารถของนาสรี่ ณ.ปัจจุบัน
การทำประตู 8 คะแนน
ทักษะการเลี้ยงบอล 8 คะแนน
การจ่ายบอล 7.5 คะแนน
ความแข็งแกร่งของร่างกาย 7.5 คะแนน
ความเร็ว 7.5 คะแนน
ทีมเวิร์ค 8 คะแนน
รวม 46.5 คะแนน
.........................
ลองไล่ดูคะแนนนักเตะระดับเวิลด์คลาสในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกกึ่งปีกของปัจจุบันบ้าง
โรนัลโด้ CR7
การทำประตู 9 คะแนน
ทักษะการเลี้ยงบอล 9 คะแนน
การจ่ายบอล 8 คะแนน
ความแข็งแกร่งของร่างกาย 9 คะแนน
ความเร็ว 9.5 คะแนน
ทีมเวิร์ค 8 คะแนน
รวม 52.5 คะแนน
ลีโอเนล เมสซี่
การทำประตู 9.5 คะแนน
ทักษะการเลี้ยงบอล 9.5 คะแนน
การจ่ายบอล 9 คะแนน
ความแข็งแกร่งของร่างกาย 7.5 คะแนน
ความเร็ว 9 คะแนน
ทีมเวิร์ค 9.5 คะแนน
รวม 54 คะแนน
ถ้าวัดดูจากคะแนนความสามารถ ในจุดเด่นของตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกกันคร่าวๆ นาสรี่เริ่มเข้ามาใกล้ระดับเดียวกับเมสซี่และโรนัลโด้แล้ว
สิ่งที่เหลือคือความสม่ำเสมอ การยืนระยะฟอร์มที่ดีของนาสรี่ว่าจะทำได้นานแค่ไหน ถ้านาสรี่ทำได้ คำว่า "World Class" คงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันสำหรับนักเตะที่เคยถูกเปรียบเทียบว่าเป็นนิวซีดาน...
ps.นี่คือบทความที่นำสถิติบวกกับการวิเคราะห์ของผมเท่านั้น ถ้าข้อมูลผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป ขออภัยมาในที่นี้ด้วย
NEVERDIE CLUB
วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553
Jack Wilshere จาก Wonder Kid สู่ Super Star !!!!
เวนเกอร์เคยกล่าวว่า ถ้าหากคุณฝีมือเจ๋งจริง คุณก็สามารถลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ได้ โดยที่ไม่สนว่าคุณจะอายุเท่าไหร่!!!
แอชลี่ย์ โคล เคยเบียดแย่งตำแหน่งแบ็คซ้ายมือหนึ่งของทีมปืนใหญ่ จากซิลวิญโญ่ได้ ทั้งที่ ณ. ตอนนั้น แบ็คซ้ายชาวบราซิลแสดงผลงานได้อย่างสุดยอด ในถิ่นไฮบิวรี่!!!
หรือแม้แต่ เซสก์ ฟาเบรกัส กัปตันทีมชุดปัจจุบัน สามารถก้าวขึ้นมาแทน ปาทริก วิเอร่า ได้ด้วยในวัยกระเตาะ ซึ่งเขาสามารถทำให้แฟนทีมปืนใหญ่ลืมเจ้าปั๊ต ด้วยพริบตา
นี่แหละครับ คือสิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า อายุไม่ได้เป็นอุปสรรค กับโอกาสลงวาดลวดลายฝีเท้าในสนาม ของลูกทีมเวนเกอร์ !!!
แจ็ค วิลเชียร์ Wonder Kid ของทีมปืนใหญ่ในตอนนั้น ถูกเวนเกอร์เรียกเข้าสู่ทีม ชุดลุยปรีซีซั่นที่ออสเตรีย ในปี 2008 หลังจากที่เขาโชว์ผลงานได้อย่างสุดยอด ให้กับทีมชุดเยาวชน
และเขาก็ไม่ทำให้เวนเกอร์ไม่ผิดหวัง เจ้าหนูแจ็คจัดการซัด 2 ประตู ช่วยให้ทีมปืนใหญ่บุกไปชนะทีมโนเนมอย่าง เบิร์กเกนแลนด์ไป 10 ประตู ต่อ 2
และไม่เพียงแค่นี้ วิลเชียร์ยังจัดการบวกเพิ่มอีกหนึ่งประตูสุดสวย จากลูกวอลเลย์ด้วยเท้าซ้าย บอลเข้าตุงตาข่าย ชนิดนายทวารรุ่นคุณน้า อย่าง เยนส์ เลห์มันน์ได้แต่มอง จบเกมทีมอาร์เซนอลบุกไปสอย ทีมสตุ๊ทการ์ทถึงถิ่น 3 ประตูต่อ 1
เวนเกอร์จัดการดันวิลเชียร์ขึ้นสู่ชุดใหญ่ทันที โดยมอบหมายเลขเสื้อเบอร์ 19 สืบทอดตำนานต่อจาก จิลแบร์โต้ ซิลวา อดีตมิดฟิลด์เชิงรับของทีมปืนโต ที่ย้ายไปอยู่ พานาธิไนกอส ยอดทีมแห่งแดนเทพนิยาย
แต่บทบาทของแจ็คกับทีมชุดใหญ่ในปีนั้น หนักไปทางรายการคาร์ลิ่งคัพ ส่วนในพรีเมียร์ลีกกับบอลถ้วยหูโต แจ็คได้แต่ดูรุ่นพี่โชว์ผลงาน ที่ข้างสนาม!!!!
ค.ศ. 2009 ในปีถัดมา แจ็ค วิลเชียร์กลับมาแสดงความมหัศจรรย์อีกครั้ง ในศึกเอมิเรสต์คัพ วิลเชียร์เข้าร่างทรงเมสซี่ โชว์ลีลาลากเลื้อยทั่วสนาม เบิ้ล 2ประตู ช่วยให้ทีมปืนใหญ่เปิดบ้านถล่ม เรนเจอร์ส ยอดทีมแห่งเมืองน้ำเมาไป 3 ประตู ต่อ 0 ท่ามกลางความสรรเสริญจากแฟนๆ เดอะกูนเนอร์ส ที่หวังว่า ปีนี้ แจ็ค วิลเชียร์จะได้แจ้งเกิดกับทีมชุดใหญ่แบบเต็มตัวเสียทีี !!!
แต่ก็เข้าอีหรอบเดิม วิลเชียร์ไม่มีบาทกับทีมชุดใหญ่ โดยเฉพาะในเกมลีก และบอลถ้วย UCL อย่างมากก็ได้เป็นเพียงแค่ผู้เล่นตัวสำรอง ข้างสนาม เพราะเวนเกอร์คิดว่ากระดูกวิลเชียร์ยังไม่แกร่งพอ สำหรับเกมหนักๆ ของพรีเมียร์ลีก
ครึ่งฤดูกาลหลัง ซีซั่น 2009 - 2010 เวนเกอร์เกรงว่าวิลเชียร์ ที่ไม่มีโอกาสลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ จะทำให้ขาดพัฒนาการ จึงจัดการส่ง เขาให้กับทีมโบลตัน ด้วยสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาล
วิลเชียร์พิสูจน์ให้ กุนซือหน้าเหี่ยวเห็นว่า เขาสามารถเอาตัวรอดจากเกมหนัก ของศึกพรีเมียร์ลีกได้อย่างสบายๆเลย
และในฤดูกาลนี้เอง เวนเกอร์จัดการดันเจ้าหนูแจ็คขึ้นสู่ชุดใหญ่อย่างเต็มตัว โดยวางบทบาท เป็นมิดฟิลด์ตัวโฮลด์บอล ตรงกลางสนาม
ฝีเท้าในสนามที่เกินวัย กล้าเล่น จ่ายบอลแม่นยำ วิสัยทัศน์ก้าวไกล
ทำให้ใครหลายๆคนเปรียบเทียบว่า เขาจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งมิดฟิลด์ห้องเครื่องต่อจาก ฟาเบรกัส ที่ถูกโรคโฮมซิกเล่นงาน แทบจะย้ายทีม ในช่วงต้นซีซั่นที่ผ่านมา
ไม่แน่ฤดูกาลนี้ อาจเป็นฤดูกาลสุดท้ายของ เอลกัปปิตัน เพราะทั้งผลงานของทีมปืนใหญ่ที่กระท่อน กระแท่น บวกกับสภาวะแวดล้อมของเพื่อนร่วมชาติสเปน ที่คอยเป่าหูทุกวี่ทุกวัน
ดังนั้น แจ็ค วิลเชียร์ น่าจะคือคำตอบที่ดีที่สุด สำหรับผู้เล่นที่จะก้าวเข้ามาแทนการจากไปของ ฟาเบรกัส ?
วิลเชียร์ในวัย 18 ปี ซึ่งหลายๆคนบอกว่า เซสก์ในวัยเดียวกันเก่งกว่า
แต่ผมกลับมองว่า ทั้ง 2 รายทำผลงานได้ดีพอๆกัน ในช่วงราววัยอายุ 18 ปี
วิลเชียร์ อาจทำได้ดีกว่า ฟาเบรกัส ในเกมรับด้วยซ้ำไป
สิ่งที่เหลือ ที่จะทำให้วิลเชียร์เป็นนักเตะครบเครื่อง ก้่าวสู่ การเป็น Super Star เต็มขั้น แบบ เซสก์ ฟาเบรกัส นั่นคือ ลูกยิงไกลจากแถวสอง และลูกจ่ายคิลเลอร์ พาส ที่วิลเชียร์ยังดูด้อยกว่า กัปตันเซสก์ แต่ผมคิดว่าวิลเชียร์จะทำได้ เพราะอะไร คลิปข้างล่างจะเป็นคำตอบแทนคำพูดของผมเองไปติดตามกัน
ปล. ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากคุณ fat_kj คอลัมน์เหนี่ยวไกปืน (1) เทพนิยายฉบับ"แจ็ค"ผู้ฆ่ายักษ์
ขอบคุณรูปภาพจาก Google
NEVERDIE CLUB
วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553
Marouane Chamakh ศูนย์หน้าแบบฉบับ 4-3-3
อะไรคือความลงตัว อะไรคือความพอดี บางครั้งผมก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ?
ความสงสัยของผมผุดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ศูนย์หน้าชาวโมร็อคโก นามว่า มารูยาน ซามัคห์ ตกเป็นข่าวผัวพันกับทีมปืนใหญ่ ในช่วงซัมเมอร์ที่แล้ว!!!
หลังจากที่ผมนั่งพินิจ พิจราณาดูคลิปของอดีตนักเตะบอร์กโดซ์รายนี้อย่างละเอียด ยิ่งตอกย้ำถึงความเคลือบแคลงใจว่า ฝีเท้าของเขาเหมาะสมกับทีมปืนใหญ่จริงหรือ?
ในรายละเอียดของคลิปนี้ มีอยู่จังหวะหนึ่ง ซึ่งซามัคห์ทำหมูหกอยู่หน้าเขตโทษ ทั้งที่บอลจะเข้าประตูอยู่แล้ว เครื่องหมายเควสชั่นตัวใหญ่ๆโผล่ขึ้นอยู่ในหัวของผมว่า เวนเกอร์จะเซ็นศูนย์หน้าสากกระเบือมาอีกทำไม?
ในทีมปืนใหญ่ ณ. ตอนนั้น ก็มีศูนย์จอมสากกระเบืออย่าง นิคลาส เบนเนอร์อยู่คนนึงแล้ว เวนเกอร์กำลังคิดอะไรอยู่ฟร่ะ!!!
เวลาผ่านไปหนึ่งปี ช่างไวเหมือนโกหก และแล้ว ซามัคห์ก็มาอยู่ถิ่นเอมิเรตส์ดั่งเวนเกอร์หวัง เจ้าบอกตัวปัดร่วมทีมทั้ง หงส์แดง และยักษ์ใหญ่ในลีกเอิง ซึ่งช็อทนี้ได้ใจแฟนเดอะกูนเนอร์สไปเต็มๆ
เวนเกอร์เริ่มปรับแผนจากเดิม 4-4-2 ซึ่งเป็นสูตรยอดนิยมของทีมอังกฤษในอดีต มาเป็นแผน 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 เพื่อให้ทันกับฟุตบอลสมัยใหม่ เมื่อต้นฤดูกาลที่แล้ว
โดยที่แผนระบบนี้ใช้ศูนย์หน้าเป้าตัวเดียว และหน้าที่นั้นก็รับบทโดย โรบิ้น ฟาน เพอร์ซี่ พรานล่านกจากแดนกังหันลม
โรบิ้น ออกสตาร์ทกับบทบาทหน้าเป้าได้ค่อนข้างดีทีเดียว โดยสอยไป 7 ประตู บวกกับ 7 แอสซิส ในช่วงต้นซีซั่นที่แล้ว แต่หลังจากนั้นเหมือนโชคชะตาฟ้ากลั่นแกล้ง ฟาน เพอร์ซี่ได้รับบาดเจ็บหนัก จากเกมรับใช้ทีมชาติ ต้องพักยาวไปหลายเดือน
ผู้ที่ขันอาสารับบทบาทนี้ต่อก็คือ อัศวินขี่ม้าขาว ชาวรัสเซีย อังเดร อาร์ชาวิน ด้วยเทคนิคและทักษะที่สุดยอด ทำให้นักเตะร่างเล็กรายนี้เอาตัวรอดไปกับเกมที่เจอกับทีมเล็กๆ
แต่อุปสรรคของพี่ม้าก็เกิดขึ้น เมื่อเจอกับทีมระดับเดียวกัน ด้วยรูปร่างที่เล็ก บวกกับแผงหลังคู่ต่อสู้ขนาดไซร้ XL พี่ม้าถูกประกบติด ทำให้เจ้าตัวสำแดงฤทธิ์เดชไม่ออกอยู่หมือนกัน
เอดูอาร์โด้เพิ่งหายเจ็บหนัก ก็ยังดูเหมือนขาดความมั่นใจ ส่วน เบนเนอร์พอถูไถกับบทบาทนี้ไปได้ แต่ปัญหาก็คือ เจ้าหมอนี่ชอบเล่นยากเกิน และใช้โอกาศเปลืองโคตร!!!
ความคิดในหัวของผม ณ. ตอนนั้น ฝังใจว่า โรบิ้น ฟาน เพอร์ซี่เหมาะกับ ตำแหน่งหน้าเป้า ในระบบ 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 มากที่สุด และเฝ้ารอคอยศูนย์หน้าชาวดัชต์แมนหายเจ็บกลับมาช่วยทีม
R.V.P กลับมาช่วงท้ายซีซั่นและก็ช่วยทีมได้ไม่มากนัก เพราะในเวลานั้นทีมปืนใหญ่หมดลุ้นแชมป์ 2 ถ้วยใหญ่ ทั้งรายการ EPL และ UCL ไปแล้ว!!!!
หลังจากนั้น ใจผมก็คอยจดจ่อกับผลงานของ ฟาน เพอร์ซี่ กับทีมชาติฮอลแลนด์ เพราะในช่วงอุ่นเครื่องที่ผ่านมา เขาทำผลงานได้ร้อนแรงมาก ทำประตูได้เกือบแทบทุกนัด
จากความเชื่อของผมในเวลานั้น คิดว่า ฟาน เพอร์ซี่ คือนักเตะที่เหมาะกับบทบาทหน้าเป้าในระบบ 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 มากที่สุดแล้ว
แต่แล้วเหตุการณ์ก็สวนทางกับความเชื่อของผม โรบิ้น ผลงานไม่ร้อนแรงกับทีมกังหันลม ยิงได้แค่ประตูเดียวจากทั้งทัวว์นาเมนต์
ผมลองกลับมาวิเคราะห์ดูว่าเกิดจากสาเหตุใดที่โรบิ้นฟอร์มไม่เปรี้ยงปร้าง !!!
อาจเป็นเพราะ นักเตะตัวซัพพอร์ทเขา เป็นพวกวันแมนโชว์ทั้งหมด นักเตะอย่าง ชไนเดอร์และ ร็อบเบน เป็นพวกชงเองกินเองทั้งสิ้น แต่นี้อาจไม่ใช่เหตุผลหลักที่โรบิ้นโชว์ฟอร์มไม่ออก
เหตุผลหลักเป็นเพราะ โรบิ้น ไม่ใช่ศูนย์หน้าตัวใหญ่ ที่แข็งแกร่ง เล่นลูกกลางอากาศได้ไม่ดี ทำให้ลูกโยนยาวหรือบอลครอสเข้าข้าง โรบิ้นไม่สามารถจัดการเปลี่ยนเป็นประตูได้
หลังจากสาธยายมายาว กลับมาเรื่องราวของ ซามัคห์อีกครั้ง อดีตศูนย์หน้าทีมบอร์กโดซ์ ออกสตาร์ทกับบทบาทศูนย์หน้าตัวกลางของทีมปืนใหญ่ในฐานะตัวจริงในซีซั่นนี้ เพราะ R.V.P อยู่ในช่วงพักร้อน หลังจากกรำศึกหนักกับทีมชาติ
ฝีเท้าของ ซามัคห์ ในสนาม ตอบโจทย์ทั้งหมดที่ค้างคาอยู่ในใจของผม แทน เวนเกอร์
การเล่นบอลง่าย บางจังหวะไม่ฝืน เป็นตัวพักบอลในแดนหน้า ขยันวิ่งลงมาล้วงบอลแล้วแต่โอกาส
อีกหนึ่งจุดเด่นของซามัคห์ คือลูกกลางอากาศ เจ้าหมอนี่ช่างกระโดดเทคตัวลอยกลางอากาศได้สูงเสียซะจริงๆเลย
สุดท้าย
ซามัคห์ ไม่ใช่ ศูนย์หน้าจอมเทคนิค เหมือน ฟานเพอร์ซี
ซามัคห์ไม่ใช่ ศูนย์หน้าความเร็วสูงอย่าง อาร์ชาวินและวัลคอตต์
ซามัคห์ไม่ใช่ ศูนย์หน้าที่เฉียบคมแบบ เอดูอาร์โด้
ซามัคห์ไม่ใช่ศูนย์หน้าที่เกรี้ยวกราดแบบ เบนด์เนอร์
แต่ซามัคห์คือส่วนผสมลงตัว ในแบบฉบับ ศูนย์หน้าตัวกลางของทีมปืนใหญ่อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
เฮ้อ!!! ในที่สุดผมก็เข้าใจความหมายของคำว่าลงตัวและคำว่าพอดีซะที 555
NEVERDIE CLUB
วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553
10 ปัจจัยที่ไอ้ปืนใหญ่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
หลังจากรูดม่านเปิดการแข่งขันพรีเมียร์ลีกมาได้ซักระยะนึงแล้ว ทีมปืนใหญ่ของพวกเรา ทำผลงานได้ค่อนข้างน่าประทับใจ โดยที่ชนะ 3 นัดติดต่อกัน หลังจากนัดแรกบุกไปเสมอทีม ลิเวอร์พูลถึงถื่นแอนฟิลด์ ทำให้แฟนๆเดอะกันเนอร์สหลายคนต่างเพ้อฝันไปถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกแล้ว แต่ผมว่าหนทางลุ้นแชมป์มันอีกยาวไกล เพราะเพิ่งเริ่มต้นมาได้แค่ 4 นัดเอง เอาละครับเข้าเรื่องกันดีกว่า ถ้าทีมปืนใหญ่ต้องการที่จะคว้าแชมป์สูงสุดของลีกผู้ดี จะต้องมีคุณสมบัติ 10 อย่างดังต่อไปนี้ ไปติดตามชมกัน
1. เกมนอกบ้าน (ละลานเจ้าถิ่น)
เกมนอกบ้านเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กำหนดแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เลย เพราะทีมในระดับลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก มีมาตราฐานสูงกับเกมที่เล่นในบ้าน ดังนั้นโอกาสที่ทำแต้มหล่นกับเกมที่เป็นเจ้าถิ่นน้อยมาก ดังนั้นถ้าทีมปืนใหญ่ต้องการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก จะต้องโกยแต้มจากการเป็นทีมเยือนให้มากที่สุด และต้องแช่งให้ทีมคู่แข่ง อย่างเชลซีและ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำแต้มหล่นกับการเป็นทีมเยือนด้วย
2. เกมบิ๊กแมตซ์ (เจ้าพ่อบิ๊กทรี)
ในฤดูกาลที่แล้ว ทีมอาร์เซนอลไม่ได้คะแนนจากกลุ่มทีมบิ๊กทรี ซักแต้มเดียวเลย คะแนนจากกลุ่มทีมลุ้นแชมป์สำคัญมาก เพราะถ้าชนะทีมคู่แข่งนั่นหมายถึงถึงกำไรสองต่อ ต่อแรกคือได้ 3 คะแนนจากผลชัยชนะ ต่อที่สองเป็นการตัดแต้มของทีมคู่แข่งลุ้นแชมป์ด้วยกันอีก
3. อาการบาดเจ็บ (เข็ดพยาบาล)
อาการบาดเจ็บทำให้ทีมปืนใหญ่หมดลุ้นแชมป์ใหญ่ไป 2 ถ้วย ในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลที่แล้ว เพราะนักเตะตัวหลักดันทยอยเจ็บกันหมด เริ่มด้วย โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ , เซสก์ ฟาเบรกัส , อังเดร อาร์ชาวิน , วิลเลี่ยม กัลลาส และ โทมัส แฟร์มาเล่น ต่างได้รับบาดเจ็บกันหมด ส่วนตัวผู้เล่นสำรองก็ยังทดแทนได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้ทีมอาร์เซนอลพลาดทำแต้มหล่นกับทีมเล็กๆในช่วงท้ายฤดูกาลที่ผ่านมา
4. เทพีแห่งโชคชะตา (หันมาอยู่ฝั่งเอมิเรตส์)
หลายๆคนบอกว่า คุณสมบัติของแชมป์ไม่ไช่เก่งอย่างเดียว แต่ต้องเฮงด้วย ใช่เลยครับในช่วงหลายๆปีหลังที่ผ่านมา ลูกทีมของอาแซน เวนเกอร์ เหมือนไม่ได้พกดวงมาเล่นด้วย บางเกมเล่นดีแทบตาย แต่ยิงยังไงก็ไม่เข้า โดนเสาบ้าง โดนคานเซฟประตูบ้าง บางทีถ้ามีโชคอีกซักนิด ทีมปืนใหญ่อาจจะได้ถ้วยแชมป์ซักถ้วยในรอบหลายปีหลังก็ได้ เรื่องนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ
5. ผู้รักษาประตู (ไม่ใช่หมูตู้อีกต่อไป)
ทีมที่ประสบความสำเร็จสูงในรอบหลายๆปีหลัง มักมีผู้รักษาประตูที่ไว้ใจได้ เช่นทีมปีศาสแดง ที่มีผู้รักษาประตูจอมเก๋าชาวฮอลแลนด์อย่าง เอ็ดวิน ฟาน เดอซาร์ ทีมเชลซี มีผู้รักษาประตูจอบหนึบ อย่าง ปีเตอร์ เช็ค แล้วลองมองย้อนกลับมาทีมปืนใหญ่ ผู้รักษาประตูอย่าง เอ็มมานูเอล อัลมูเนีย และลูคัส ฟาเบียงสกี้ ต่างยังไม่นิ่งพอโดยเฉพาะกับเกมใหญ่ๆ สุดท้ายผมหวังว่าอายุและประสบการณ์ของอัลมูเนียที่มากขึ้น จะช่วยให้เขาจัดการกับสถานการณ์ที่ขับขันได้นะครับ
6. ความเด็ดขาด (คู่แข่งพลาดแล้วกระซวก)
ทีมอาร์เซนอลขึ้นชื่อลือชาอยู่แล้วครับ สำหรับการต่อบอลเข้าทำอย่างสวยงาม แต่หลังจากหมดยุคไร้พ่าย เกมต่อบอลของทีมอาร์เซนอลยังคงรูปแบบเดิม แต่แตกต่างกับตรงที่ความเด็ดขาดในการจบสกอร์ บางเกมมีโอกาสเข้าทำหลายครั้ง แต่กลับเปลี่ยนเป็นสกอร์ไม่ได้ โอกาสที่นักเตะหลุดเดี่ยว ไปดวลตัวต่อตัวกับผู้รักษาประตู แต่ดันยิงไปติดเซฟบ้าง หรือยิงออกไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าลูกทีมของเวนเกอร์แก้ไขในจุดนี้ได้ โอกาสลุ้นแชมป์จะง่ายมากกว่าเดิมอยู่มากโข
7. นักเตะสำรอง(ต้องอัพเกรดตัวเอง)
ข้อนี้จะเชื่อมโยงไปกับข้อที่ 3 นั่นคืออาการบาดเจ็บของผู้เล่น นักเตะตัวจริงของทีมอาร์เซนอลชุดนี้ สามารถต่อกรสู้ได้กับทุกๆทีมในพรีเมียร์ลีก แต่เมื่อผู้เล่นตัวหลักได้รับบาดเจ็บ ผู้เล่นสำรองต้องยกระดับตัวเองให้มีคุณภาพใกล้เคียงผู้เล่นตัวจริงให้ได้มากที่สุด ซึ่งเห็นได้ชัดจากคุณภาพนักเตะตัวสำรองของทีมเชลซี ที่สามารถทดแทนนักเตะตัวหลักอย่างได้อย่างไม่เขอะเขินเลย มีส่วนส่งผลให้ทีมสิงโตน้ำเงินคราม คว้าดับเบิ้ลแชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว
8. สปิริตในทีม (รวมใจปืนหนึ่งเดียว)
ทีมที่มีสปิริตในทีมสูง จะส่งผลให้นักเตะในทีมเล่นด้วยความเข้าใจกันมากขึ้น วิลเลี่ยม กัลลาส เป็นอีกหนึ่งนักเตะที่บั่นทอนสปิริตในทีมปืนใหญ่หายไป ในช่วงที่เขาอยู่กับทีม ซึ่งมีแหล่งข่าววงในออกมาเผยว่า มีนักเตะในทีมอาร์เซนอล 7-8 คนที่ไม่ได้คุยกับนักเตะชาวฝรั่งเศสรายนี้เลย และนี่แหละอาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลเล็กๆที่ทำให้ทีมปืนใหณ่ขาดความเป็นหนึ่งเดียวในช่วงหลายปีหลังที่ผ่านมา
9. สมาธิของนักเตะ (ไม่จบเกม ไม่เหม่อลอย)
ฤดูกาลที่แล้วหลายๆครั้งที่นักเตะทีมปืนใหญ่ขาดสมาธิเพียงวินาทีเดียว นั่นคือสาเหตุทำให้เสียประตูอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะช่วงท้ายๆเกม ที่น่าจะเก็บสามแต้มเต็มได้แล้ว แต่โดนจังหวะโต้กลับทีเดียวทำให้ผลการแข่งขันเปลี่ยนไปเลย ดังนั้นนักเตะชุดนี้ต้องมีสมาธิและความมุ่งมั่นในเกมจวบจนวินาทีสุดท้าย ก่อนที่นกหวีดจะเป่าหมดเวลา จะได้ไม่ต้องมานั่งช้ำใจเมื่อถูกขโมยแต้มไป ในช่วงเวลาไม่กี่วินาที
10. ถ้าไร้พ่าย (ก็ได้แชมป์)
ข้อนี้อาจจะดูเพ้อเจ้อไปหน่อย แต่ลองย้อนกลับไปดูสถิติตั้งแต่เปลี่ยนเป็นมาพรีเมียร์ลีก ยังไม่มีทีมไหนที่ไม่แพ้เลยทั้งฤดูกาลแล้วไม่ได้เป็นแชมป์ เพราะมีทีมปืนใหญ่เป็นเจ้าของสถิตินี้ทีมเดียว สรุปง่ายๆถ้าไม่แพ้ มรึงเอาแชมป์ไปเลย ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้นะ เพราะเคยทำมาแล้ว 555+
NEVERDIE CLUB