วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ขวบปีที่ 3 ของนาสรี่ กับการก้าวขึ้นสู่ซุปเปอร์สตาร์เต็มขั้น

ผลงานที่ไม่สม่ำเสมอของทีมปืนใหญ่ แม้จะชนะในเกมนอกบ้าน แต่กลับทำแต้มหล่นคารังตนเองบ่อยครั้ง ผู้เล่นหลายรายอยู่ในช่วงฟอร์มตก เชสก์ ฟาเบรกัส กัปตันทีมปืนใหญ่ ที่ยังไม่สามารถเค้นฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองออกมาได้ นักเตะหลายคนขาดพัฒนาการ ธีโอ วัลคอตต์ นิคลาส เบนด์เนอร์ เดนิลสัน และผู้เล่นดาวรุ่งอีกหลายๆราย ยังตกเป็นเครื่องหมายคำถามของแฟนบอลอยู่ว่า เมื่อไหร่นักเตะเหล่านี้จะเป็นที่พึ่งพาของทีมได้?


แต่ในเรื่องแย่ๆของเหล่านักเตะปืนโต กลับมีนักเตะอยู่รายหนึ่ง ที่่มีผลงานสม่ำเสมอมาก นับตั้งแต่ช่วงเปิดซีซั่นมานั่นคือ ซาเมียร์ นาสรี่ นักเตะชาวฝรั่งเศสเชื้อสายแอลจีเรีย ย้ายมาร่วมถิ่นเอมิเรตส์ เมื่อ 2 ฤดูกาลที่แล้ว


นาสรี่อดีตนักเตะดาวรุ่งของทีม โอลิมปิก มาร์กเซย์ กับการก้าวเข้ามาสู่รั้วทีมปืนใหญ่ ซึ่งเป็นความฝันของเหล่านักเตะชาวฝรั่งเศสทั้งหลาย ที่หวังให้ อาแซน เวนเกอร์ ขงเบ้งเมืองน้ำหอม ปลุกปั้นให้เขาเป็นซุปเปอร์สตาร์ เฉดเช่นรุ่นพี่ อย่าง เธียร์รี่ อองรี โรแบร์ ปีแรส และ ปาทริค วิเอร่า

ทีนี้พวกเราลองมาติดชมกันว่า 3 ปี ของนาสรี่ เขามีพัฒนาการอย่างไร ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นซุเปอร์สตาร์เต็มตัว





ฤดูกาล 2008-2009 ขวบปีแรกของนาสรี่ กับทีมปืนใหญ่

นาสรี่ย้ายมาร่วมทีมอาร์เซนอล กับการคาดหวังของแฟนบอลว่า เขาจะก้าวเข้ามาทดแทนสตาร์รุ่นพี่อย่าง อเล็กซานเดอร์ เคล็บ ปีกตีนตะขอชาวเบเลารุส ที่เกิดอาการเบื่อชีวิตในลอนดอนอย่างกระทันหัน ย้ายไปร่วมถิ่น คัมป์ นู ของบาซ่า

นาสรี่ประเดิมผลงานนัดแรกได้อย่างสวยงามมาก เขาจัดการซัดประตูโทน ช่วยให้ทีมปืนใหญ่จะเฉือนชนะทีมเวสต์บรอมวิช อัลเบียนไป 1-0 และอีกหนึ่งไฮไลท์ของนาสรี่ในซีซั่นแรกคือ 2 ประตูในถิ่นเอมิเรสต์ ช่วยให้ทีมอาร์เซนอลยัดเยียดความปราชัยให้กับ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป 2-1 แฟนๆ "เดอะเร้ดเดวิล" คงจำชื่อของนาสรี่ไปอีกนาน

นาสรี่กับฤดูกาลแรกของทีมอาร์เซนอล ถือว่าสอบผ่านไปด้วยดี นาสรี่ปรับเข้ากับระบบของทีมปืนใหญ่ได้อย่างรวดเร็วมาก

นาสรี่ลงสนามให้กับทีมไปทุกรายการทั้งหมด 44 นัด ทำประตูได้ 7 ประตู (เฉลี่ย 6 นัด ต่อ 1ประตู)

คะแนนความสามารถขวบปีแรกของนาสรี่

(ปล. ผมจะให้คะแนนเฉพาะลักษณะเด่นๆ ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกเท่านั้น)

การทำประตู 7 คะแนน

ทักษะการเลี้ยงบอล 7.5 คะแนน

การจ่ายบอล 7 คะแนน

ความแข็งแกร่งของร่างกาย 6.5 คะแนน

ความเร็ว 7 คะแนน

ทีมเวิร์ค 7 คะแนน

รวม 42 คะแนน


..........................





ฤดูกาล 2009-2010 ขวบปีที่ 2 ของนาสรี่กับทีมปืนใหญ่

ซีซั่นใหม่เริ่มขึ้นไม่เท่าไหร่ นาสรี่ก็ดวงแตกทันที เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บจากจังหวะที่ประทะกับดิยาบี้ ในช่วงฝึกซ้อมเกมปรีซีซั่นก่อนเปิดฤดูกาล ทำให้นาสรี่ต้องออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ ช้ากว่าเพื่อนร่วมทีมถึงหลายเดือน นาสรี่กลับมาจากอาการบาดเจ็บค่อยๆปรับตัวเข้ากับทีมอย่างเรื่อยๆ หนึ่งในไฮไลท์ซีซั่นที่ 2 ของนาสรี่ คือช็อทที่นาสรี่โซโล่เดี่ยวเลี้ยงบอลล็อคหลบผู้เล่นปอร์โต้หลายคน ก่อนที่จัดการซัดประตูอย่างสุดสวยงาม จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายของนาสรี่ เมื่อเขาไม่ติดทีมชาติฝรั่งเศส ชุดลุยฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่แอฟริกาใต้ ที่ทีมตราไก่เกิดสปิริตแตก ตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างน่าอนาตจิต

ฤดูกาลที่สองของนาสรี่ถือว่าทรงตัว ไม่ดีหรือเลวร้ายซะเกินไป

นาสรี่ลงสนามให้กับทีมไปทุกรายการทั้งหมด 34 นัด ทำประตูได้ 5 ประตู (เฉลี่ย 7 นัด ต่อ 1 ประตู)

คะแนนความสามารถ ขวบปีที่ 2 ของนาสรี่

การทำประตู 7 คะแนน

ทักษะการเลี้ยงบอล 7.5 คะแนน

การจ่ายบอล 7 คะแนน

ความแข็งแกร่งของร่างกาย 7 คะแนน

ความเร็ว 7 คะแนน

ทีมเวิร์ค 7.5 คะแนน

รวม 43 คะแนน


..........................





ฤดูกาล 2010-2011 ขวบปีที่ 3 ของนาสรี่กับทีมปืนใหญ่

ซีซั่นที่ 3 ของนาสรี่กับทีมอาร์เซนอล ดูเหมือนจะสดใสมากขึ้น เพราะนาสรี่ได้พักเต็มที่ในช่วงปิดฤดูกาล นาสรี่เริ่มต้นกับทีมในช่วงต้นฤดูกาลใหม่ ยังมีอาการเจ็บรบกวนบ้างเล็กน้อย แต่เขาก็สลัดอาการบาดเจ็บทิ้งไปพร้อมกับโชว์ผลงานในสนามที่สุดยอด นาสรี่ที่มีความเร็วขึ้น เทคนิคการครองบอลมากขึ้น มีความฟิตมากขึ้น ทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง และมีผลงานอย่างสม่ำเสมอ จนทำให้ใครหลายคนคิดว่าอีกไม่ช้านี้ นาสรี่จะก้าวขึ้นเป็นนักเตะซุบเปอร์สตาร์ระดับเดียวกับ โรนัลโด้หรือเมสซี่

นาสรี่กับช่วงต้นฤดูกาลที่ 3 ของเขาถือว่าทำผลงานได้อย่างสุดยอดมาก พัฒนาจากปีที่แล้วไปหลายขุม โดยเฉพาะการทำประตูที่เฉียบคมมากขึ้น

ฤดูกาลนี้นาสรี่ลงสนามไปทั้งหมด 18 นัด ทำประตูไปได้ 9 ประตู (เฉลี่ย 2 นัด ต่อ1ประตู)

คะแนนความสามารถของนาสรี่ ณ.ปัจจุบัน

การทำประตู 8 คะแนน

ทักษะการเลี้ยงบอล 8 คะแนน

การจ่ายบอล 7.5 คะแนน

ความแข็งแกร่งของร่างกาย 7.5 คะแนน

ความเร็ว 7.5 คะแนน

ทีมเวิร์ค 8 คะแนน

รวม 46.5 คะแนน


.........................


ลองไล่ดูคะแนนนักเตะระดับเวิลด์คลาสในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกกึ่งปีกของปัจจุบันบ้าง




โรนัลโด้ CR7

การทำประตู 9 คะแนน

ทักษะการเลี้ยงบอล 9 คะแนน

การจ่ายบอล 8 คะแนน

ความแข็งแกร่งของร่างกาย 9 คะแนน

ความเร็ว 9.5 คะแนน

ทีมเวิร์ค 8 คะแนน

รวม 52.5 คะแนน




ลีโอเนล เมสซี่

การทำประตู 9.5 คะแนน

ทักษะการเลี้ยงบอล 9.5 คะแนน

การจ่ายบอล 9 คะแนน

ความแข็งแกร่งของร่างกาย 7.5 คะแนน

ความเร็ว 9 คะแนน

ทีมเวิร์ค 9.5 คะแนน

รวม 54 คะแนน




ถ้าวัดดูจากคะแนนความสามารถ ในจุดเด่นของตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกกันคร่าวๆ นาสรี่เริ่มเข้ามาใกล้ระดับเดียวกับเมสซี่และโรนัลโด้แล้ว

สิ่งที่เหลือคือความสม่ำเสมอ การยืนระยะฟอร์มที่ดีของนาสรี่ว่าจะทำได้นานแค่ไหน ถ้านาสรี่ทำได้ คำว่า "World Class" คงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันสำหรับนักเตะที่เคยถูกเปรียบเทียบว่าเป็นนิวซีดาน...



ps.นี่คือบทความที่นำสถิติบวกกับการวิเคราะห์ของผมเท่านั้น ถ้าข้อมูลผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป ขออภัยมาในที่นี้ด้วย


NEVERDIE CLUB

วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Jack Wilshere จาก Wonder Kid สู่ Super Star !!!!





เวนเกอร์เคยกล่าวว่า ถ้าหากคุณฝีมือเจ๋งจริง คุณก็สามารถลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ได้ โดยที่ไม่สนว่าคุณจะอายุเท่าไหร่!!!



แอชลี่ย์ โคล เคยเบียดแย่งตำแหน่งแบ็คซ้ายมือหนึ่งของทีมปืนใหญ่ จากซิลวิญโญ่ได้ ทั้งที่ ณ. ตอนนั้น แบ็คซ้ายชาวบราซิลแสดงผลงานได้อย่างสุดยอด ในถิ่นไฮบิวรี่!!!

หรือแม้แต่ เซสก์ ฟาเบรกัส กัปตันทีมชุดปัจจุบัน สามารถก้าวขึ้นมาแทน ปาทริก วิเอร่า ได้ด้วยในวัยกระเตาะ ซึ่งเขาสามารถทำให้แฟนทีมปืนใหญ่ลืมเจ้าปั๊ต ด้วยพริบตา






นี่แหละครับ คือสิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า อายุไม่ได้เป็นอุปสรรค กับโอกาสลงวาดลวดลายฝีเท้าในสนาม ของลูกทีมเวนเกอร์ !!!

แจ็ค วิลเชียร์ Wonder Kid ของทีมปืนใหญ่ในตอนนั้น ถูกเวนเกอร์เรียกเข้าสู่ทีม ชุดลุยปรีซีซั่นที่ออสเตรีย ในปี 2008 หลังจากที่เขาโชว์ผลงานได้อย่างสุดยอด ให้กับทีมชุดเยาวชน




และเขาก็ไม่ทำให้เวนเกอร์ไม่ผิดหวัง เจ้าหนูแจ็คจัดการซัด 2 ประตู ช่วยให้ทีมปืนใหญ่บุกไปชนะทีมโนเนมอย่าง เบิร์กเกนแลนด์ไป 10 ประตู ต่อ 2

และไม่เพียงแค่นี้ วิลเชียร์ยังจัดการบวกเพิ่มอีกหนึ่งประตูสุดสวย จากลูกวอลเลย์ด้วยเท้าซ้าย บอลเข้าตุงตาข่าย ชนิดนายทวารรุ่นคุณน้า อย่าง เยนส์ เลห์มันน์ได้แต่มอง จบเกมทีมอาร์เซนอลบุกไปสอย ทีมสตุ๊ทการ์ทถึงถิ่น 3 ประตูต่อ 1






เวนเกอร์จัดการดันวิลเชียร์ขึ้นสู่ชุดใหญ่ทันที โดยมอบหมายเลขเสื้อเบอร์ 19 สืบทอดตำนานต่อจาก จิลแบร์โต้ ซิลวา อดีตมิดฟิลด์เชิงรับของทีมปืนโต ที่ย้ายไปอยู่ พานาธิไนกอส ยอดทีมแห่งแดนเทพนิยาย

แต่บทบาทของแจ็คกับทีมชุดใหญ่ในปีนั้น หนักไปทางรายการคาร์ลิ่งคัพ ส่วนในพรีเมียร์ลีกกับบอลถ้วยหูโต แจ็คได้แต่ดูรุ่นพี่โชว์ผลงาน ที่ข้างสนาม!!!!




ค.ศ. 2009 ในปีถัดมา แจ็ค วิลเชียร์กลับมาแสดงความมหัศจรรย์อีกครั้ง ในศึกเอมิเรสต์คัพ วิลเชียร์เข้าร่างทรงเมสซี่ โชว์ลีลาลากเลื้อยทั่วสนาม เบิ้ล 2ประตู ช่วยให้ทีมปืนใหญ่เปิดบ้านถล่ม เรนเจอร์ส ยอดทีมแห่งเมืองน้ำเมาไป 3 ประตู ต่อ 0 ท่ามกลางความสรรเสริญจากแฟนๆ เดอะกูนเนอร์ส ที่หวังว่า ปีนี้ แจ็ค วิลเชียร์จะได้แจ้งเกิดกับทีมชุดใหญ่แบบเต็มตัวเสียทีี !!!






แต่ก็เข้าอีหรอบเดิม วิลเชียร์ไม่มีบาทกับทีมชุดใหญ่ โดยเฉพาะในเกมลีก และบอลถ้วย UCL อย่างมากก็ได้เป็นเพียงแค่ผู้เล่นตัวสำรอง ข้างสนาม เพราะเวนเกอร์คิดว่ากระดูกวิลเชียร์ยังไม่แกร่งพอ สำหรับเกมหนักๆ ของพรีเมียร์ลีก

ครึ่งฤดูกาลหลัง ซีซั่น 2009 - 2010 เวนเกอร์เกรงว่าวิลเชียร์ ที่ไม่มีโอกาสลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ จะทำให้ขาดพัฒนาการ จึงจัดการส่ง เขาให้กับทีมโบลตัน ด้วยสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาล




วิลเชียร์พิสูจน์ให้ กุนซือหน้าเหี่ยวเห็นว่า เขาสามารถเอาตัวรอดจากเกมหนัก ของศึกพรีเมียร์ลีกได้อย่างสบายๆเลย

และในฤดูกาลนี้เอง เวนเกอร์จัดการดันเจ้าหนูแจ็คขึ้นสู่ชุดใหญ่อย่างเต็มตัว โดยวางบทบาท เป็นมิดฟิลด์ตัวโฮลด์บอล ตรงกลางสนาม






ฝีเท้าในสนามที่เกินวัย กล้าเล่น จ่ายบอลแม่นยำ วิสัยทัศน์ก้าวไกล

ทำให้ใครหลายๆคนเปรียบเทียบว่า เขาจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งมิดฟิลด์ห้องเครื่องต่อจาก ฟาเบรกัส ที่ถูกโรคโฮมซิกเล่นงาน แทบจะย้ายทีม ในช่วงต้นซีซั่นที่ผ่านมา




ไม่แน่ฤดูกาลนี้ อาจเป็นฤดูกาลสุดท้ายของ เอลกัปปิตัน เพราะทั้งผลงานของทีมปืนใหญ่ที่กระท่อน กระแท่น บวกกับสภาวะแวดล้อมของเพื่อนร่วมชาติสเปน ที่คอยเป่าหูทุกวี่ทุกวัน

ดังนั้น แจ็ค วิลเชียร์ น่าจะคือคำตอบที่ดีที่สุด สำหรับผู้เล่นที่จะก้าวเข้ามาแทนการจากไปของ ฟาเบรกัส ?






วิลเชียร์ในวัย 18 ปี ซึ่งหลายๆคนบอกว่า เซสก์ในวัยเดียวกันเก่งกว่า

แต่ผมกลับมองว่า ทั้ง 2 รายทำผลงานได้ดีพอๆกัน ในช่วงราววัยอายุ 18 ปี

วิลเชียร์ อาจทำได้ดีกว่า ฟาเบรกัส ในเกมรับด้วยซ้ำไป




สิ่งที่เหลือ ที่จะทำให้วิลเชียร์เป็นนักเตะครบเครื่อง ก้่าวสู่ การเป็น Super Star เต็มขั้น แบบ เซสก์ ฟาเบรกัส นั่นคือ ลูกยิงไกลจากแถวสอง และลูกจ่ายคิลเลอร์ พาส ที่วิลเชียร์ยังดูด้อยกว่า กัปตันเซสก์ แต่ผมคิดว่าวิลเชียร์จะทำได้ เพราะอะไร คลิปข้างล่างจะเป็นคำตอบแทนคำพูดของผมเองไปติดตามกัน








ปล. ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากคุณ fat_kj คอลัมน์เหนี่ยวไกปืน (1) เทพนิยายฉบับ"แจ็ค"ผู้ฆ่ายักษ์
ขอบคุณรูปภาพจาก Google



NEVERDIE CLUB


วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

Marouane Chamakh ศูนย์หน้าแบบฉบับ 4-3-3



อะไรคือความลงตัว อะไรคือความพอดี บางครั้งผมก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ?

ความสงสัยของผมผุดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ศูนย์หน้าชาวโมร็อคโก นามว่า มารูยาน ซามัคห์ ตกเป็นข่าวผัวพันกับทีมปืนใหญ่ ในช่วงซัมเมอร์ที่แล้ว!!!

หลังจากที่ผมนั่งพินิจ พิจราณาดูคลิปของอดีตนักเตะบอร์กโดซ์รายนี้อย่างละเอียด ยิ่งตอกย้ำถึงความเคลือบแคลงใจว่า ฝีเท้าของเขาเหมาะสมกับทีมปืนใหญ่จริงหรือ?


ในรายละเอียดของคลิปนี้ มีอยู่จังหวะหนึ่ง ซึ่งซามัคห์ทำหมูหกอยู่หน้าเขตโทษ ทั้งที่บอลจะเข้าประตูอยู่แล้ว เครื่องหมายเควสชั่นตัวใหญ่ๆโผล่ขึ้นอยู่ในหัวของผมว่า เวนเกอร์จะเซ็นศูนย์หน้าสากกระเบือมาอีกทำไม?

ในทีมปืนใหญ่ ณ. ตอนนั้น ก็มีศูนย์จอมสากกระเบืออย่าง นิคลาส เบนเนอร์อยู่คนนึงแล้ว เวนเกอร์กำลังคิดอะไรอยู่ฟร่ะ!!!

เวลาผ่านไปหนึ่งปี ช่างไวเหมือนโกหก และแล้ว ซามัคห์ก็มาอยู่ถิ่นเอมิเรตส์ดั่งเวนเกอร์หวัง เจ้าบอกตัวปัดร่วมทีมทั้ง หงส์แดง และยักษ์ใหญ่ในลีกเอิง ซึ่งช็อทนี้ได้ใจแฟนเดอะกูนเนอร์สไปเต็มๆ





เวนเกอร์เริ่มปรับแผนจากเดิม 4-4-2 ซึ่งเป็นสูตรยอดนิยมของทีมอังกฤษในอดีต มาเป็นแผน 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 เพื่อให้ทันกับฟุตบอลสมัยใหม่ เมื่อต้นฤดูกาลที่แล้ว

โดยที่แผนระบบนี้ใช้ศูนย์หน้าเป้าตัวเดียว และหน้าที่นั้นก็รับบทโดย โรบิ้น ฟาน เพอร์ซี่ พรานล่านกจากแดนกังหันลม


โรบิ้น ออกสตาร์ทกับบทบาทหน้าเป้าได้ค่อนข้างดีทีเดียว โดยสอยไป 7 ประตู บวกกับ 7 แอสซิส ในช่วงต้นซีซั่นที่แล้ว แต่หลังจากนั้นเหมือนโชคชะตาฟ้ากลั่นแกล้ง ฟาน เพอร์ซี่ได้รับบาดเจ็บหนัก จากเกมรับใช้ทีมชาติ ต้องพักยาวไปหลายเดือน

ผู้ที่ขันอาสารับบทบาทนี้ต่อก็คือ อัศวินขี่ม้าขาว ชาวรัสเซีย อังเดร อาร์ชาวิน ด้วยเทคนิคและทักษะที่สุดยอด ทำให้นักเตะร่างเล็กรายนี้เอาตัวรอดไปกับเกมที่เจอกับทีมเล็กๆ

แต่อุปสรรคของพี่ม้าก็เกิดขึ้น เมื่อเจอกับทีมระดับเดียวกัน ด้วยรูปร่างที่เล็ก บวกกับแผงหลังคู่ต่อสู้ขนาดไซร้ XL พี่ม้าถูกประกบติด ทำให้เจ้าตัวสำแดงฤทธิ์เดชไม่ออกอยู่หมือนกัน





เอดูอาร์โด้เพิ่งหายเจ็บหนัก ก็ยังดูเหมือนขาดความมั่นใจ ส่วน เบนเนอร์พอถูไถกับบทบาทนี้ไปได้ แต่ปัญหาก็คือ เจ้าหมอนี่ชอบเล่นยากเกิน และใช้โอกาศเปลืองโคตร!!!

ความคิดในหัวของผม ณ. ตอนนั้น ฝังใจว่า โรบิ้น ฟาน เพอร์ซี่เหมาะกับ ตำแหน่งหน้าเป้า ในระบบ 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 มากที่สุด และเฝ้ารอคอยศูนย์หน้าชาวดัชต์แมนหายเจ็บกลับมาช่วยทีม


R.V.P กลับมาช่วงท้ายซีซั่นและก็ช่วยทีมได้ไม่มากนัก เพราะในเวลานั้นทีมปืนใหญ่หมดลุ้นแชมป์ 2 ถ้วยใหญ่ ทั้งรายการ EPL และ UCL ไปแล้ว!!!!

หลังจากนั้น ใจผมก็คอยจดจ่อกับผลงานของ ฟาน เพอร์ซี่ กับทีมชาติฮอลแลนด์ เพราะในช่วงอุ่นเครื่องที่ผ่านมา เขาทำผลงานได้ร้อนแรงมาก ทำประตูได้เกือบแทบทุกนัด

จากความเชื่อของผมในเวลานั้น คิดว่า ฟาน เพอร์ซี่ คือนักเตะที่เหมาะกับบทบาทหน้าเป้าในระบบ 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 มากที่สุดแล้ว





แต่แล้วเหตุการณ์ก็สวนทางกับความเชื่อของผม โรบิ้น ผลงานไม่ร้อนแรงกับทีมกังหันลม ยิงได้แค่ประตูเดียวจากทั้งทัวว์นาเมนต์

ผมลองกลับมาวิเคราะห์ดูว่าเกิดจากสาเหตุใดที่โรบิ้นฟอร์มไม่เปรี้ยงปร้าง !!!



อาจเป็นเพราะ นักเตะตัวซัพพอร์ทเขา เป็นพวกวันแมนโชว์ทั้งหมด นักเตะอย่าง ชไนเดอร์และ ร็อบเบน เป็นพวกชงเองกินเองทั้งสิ้น แต่นี้อาจไม่ใช่เหตุผลหลักที่โรบิ้นโชว์ฟอร์มไม่ออก

เหตุผลหลักเป็นเพราะ โรบิ้น ไม่ใช่ศูนย์หน้าตัวใหญ่ ที่แข็งแกร่ง เล่นลูกกลางอากาศได้ไม่ดี ทำให้ลูกโยนยาวหรือบอลครอสเข้าข้าง โรบิ้นไม่สามารถจัดการเปลี่ยนเป็นประตูได้




หลังจากสาธยายมายาว กลับมาเรื่องราวของ ซามัคห์อีกครั้ง อดีตศูนย์หน้าทีมบอร์กโดซ์ ออกสตาร์ทกับบทบาทศูนย์หน้าตัวกลางของทีมปืนใหญ่ในฐานะตัวจริงในซีซั่นนี้ เพราะ R.V.P อยู่ในช่วงพักร้อน หลังจากกรำศึกหนักกับทีมชาติ


ฝีเท้าของ ซามัคห์ ในสนาม ตอบโจทย์ทั้งหมดที่ค้างคาอยู่ในใจของผม แทน เวนเกอร์

การเล่นบอลง่าย บางจังหวะไม่ฝืน เป็นตัวพักบอลในแดนหน้า ขยันวิ่งลงมาล้วงบอลแล้วแต่โอกาส

อีกหนึ่งจุดเด่นของซามัคห์ คือลูกกลางอากาศ เจ้าหมอนี่ช่างกระโดดเทคตัวลอยกลางอากาศได้สูงเสียซะจริงๆเลย


สุดท้าย

ซามัคห์ ไม่ใช่ ศูนย์หน้าจอมเทคนิค เหมือน ฟานเพอร์ซี

ซามัคห์ไม่ใช่ ศูนย์หน้าความเร็วสูงอย่าง อาร์ชาวินและวัลคอตต์

ซามัคห์ไม่ใช่ ศูนย์หน้าที่เฉียบคมแบบ เอดูอาร์โด้

ซามัคห์ไม่ใช่ศูนย์หน้าที่เกรี้ยวกราดแบบ เบนด์เนอร์

แต่ซามัคห์คือส่วนผสมลงตัว ในแบบฉบับ ศูนย์หน้าตัวกลางของทีมปืนใหญ่อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด




เฮ้อ!!! ในที่สุดผมก็เข้าใจความหมายของคำว่าลงตัวและคำว่าพอดีซะที 555

NEVERDIE CLUB

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

10 ปัจจัยที่ไอ้ปืนใหญ่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก



หลังจากรูดม่านเปิดการแข่งขันพรีเมียร์ลีกมาได้ซักระยะนึงแล้ว ทีมปืนใหญ่ของพวกเรา ทำผลงานได้ค่อนข้างน่าประทับใจ โดยที่ชนะ 3 นัดติดต่อกัน หลังจากนัดแรกบุกไปเสมอทีม ลิเวอร์พูลถึงถื่นแอนฟิลด์ ทำให้แฟนๆเดอะกันเนอร์สหลายคนต่างเพ้อฝันไปถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกแล้ว แต่ผมว่าหนทางลุ้นแชมป์มันอีกยาวไกล เพราะเพิ่งเริ่มต้นมาได้แค่ 4 นัดเอง เอาละครับเข้าเรื่องกันดีกว่า ถ้าทีมปืนใหญ่ต้องการที่จะคว้าแชมป์สูงสุดของลีกผู้ดี จะต้องมีคุณสมบัติ 10 อย่างดังต่อไปนี้ ไปติดตามชมกัน


1. เกมนอกบ้าน (ละลานเจ้าถิ่น)

เกมนอกบ้านเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กำหนดแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เลย เพราะทีมในระดับลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก มีมาตราฐานสูงกับเกมที่เล่นในบ้าน ดังนั้นโอกาสที่ทำแต้มหล่นกับเกมที่เป็นเจ้าถิ่นน้อยมาก ดังนั้นถ้าทีมปืนใหญ่ต้องการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก จะต้องโกยแต้มจากการเป็นทีมเยือนให้มากที่สุด และต้องแช่งให้ทีมคู่แข่ง อย่างเชลซีและ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำแต้มหล่นกับการเป็นทีมเยือนด้วย


2. เกมบิ๊กแมตซ์ (เจ้าพ่อบิ๊กทรี)

ในฤดูกาลที่แล้ว ทีมอาร์เซนอลไม่ได้คะแนนจากกลุ่มทีมบิ๊กทรี ซักแต้มเดียวเลย คะแนนจากกลุ่มทีมลุ้นแชมป์สำคัญมาก เพราะถ้าชนะทีมคู่แข่งนั่นหมายถึงถึงกำไรสองต่อ ต่อแรกคือได้ 3 คะแนนจากผลชัยชนะ ต่อที่สองเป็นการตัดแต้มของทีมคู่แข่งลุ้นแชมป์ด้วยกันอีก


3. อาการบาดเจ็บ (เข็ดพยาบาล)

อาการบาดเจ็บทำให้ทีมปืนใหญ่หมดลุ้นแชมป์ใหญ่ไป 2 ถ้วย ในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลที่แล้ว เพราะนักเตะตัวหลักดันทยอยเจ็บกันหมด เริ่มด้วย โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ , เซสก์ ฟาเบรกัส , อังเดร อาร์ชาวิน , วิลเลี่ยม กัลลาส และ โทมัส แฟร์มาเล่น ต่างได้รับบาดเจ็บกันหมด ส่วนตัวผู้เล่นสำรองก็ยังทดแทนได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้ทีมอาร์เซนอลพลาดทำแต้มหล่นกับทีมเล็กๆในช่วงท้ายฤดูกาลที่ผ่านมา


4. เทพีแห่งโชคชะตา (หันมาอยู่ฝั่งเอมิเรตส์)

หลายๆคนบอกว่า คุณสมบัติของแชมป์ไม่ไช่เก่งอย่างเดียว แต่ต้องเฮงด้วย ใช่เลยครับในช่วงหลายๆปีหลังที่ผ่านมา ลูกทีมของอาแซน เวนเกอร์ เหมือนไม่ได้พกดวงมาเล่นด้วย บางเกมเล่นดีแทบตาย แต่ยิงยังไงก็ไม่เข้า โดนเสาบ้าง โดนคานเซฟประตูบ้าง บางทีถ้ามีโชคอีกซักนิด ทีมปืนใหญ่อาจจะได้ถ้วยแชมป์ซักถ้วยในรอบหลายปีหลังก็ได้ เรื่องนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ


5. ผู้รักษาประตู (ไม่ใช่หมูตู้อีกต่อไป)

ทีมที่ประสบความสำเร็จสูงในรอบหลายๆปีหลัง มักมีผู้รักษาประตูที่ไว้ใจได้ เช่นทีมปีศาสแดง ที่มีผู้รักษาประตูจอมเก๋าชาวฮอลแลนด์อย่าง เอ็ดวิน ฟาน เดอซาร์ ทีมเชลซี มีผู้รักษาประตูจอบหนึบ อย่าง ปีเตอร์ เช็ค แล้วลองมองย้อนกลับมาทีมปืนใหญ่ ผู้รักษาประตูอย่าง เอ็มมานูเอล อัลมูเนีย และลูคัส ฟาเบียงสกี้ ต่างยังไม่นิ่งพอโดยเฉพาะกับเกมใหญ่ๆ สุดท้ายผมหวังว่าอายุและประสบการณ์ของอัลมูเนียที่มากขึ้น จะช่วยให้เขาจัดการกับสถานการณ์ที่ขับขันได้นะครับ


6. ความเด็ดขาด (คู่แข่งพลาดแล้วกระซวก)

ทีมอาร์เซนอลขึ้นชื่อลือชาอยู่แล้วครับ สำหรับการต่อบอลเข้าทำอย่างสวยงาม แต่หลังจากหมดยุคไร้พ่าย เกมต่อบอลของทีมอาร์เซนอลยังคงรูปแบบเดิม แต่แตกต่างกับตรงที่ความเด็ดขาดในการจบสกอร์ บางเกมมีโอกาสเข้าทำหลายครั้ง แต่กลับเปลี่ยนเป็นสกอร์ไม่ได้ โอกาสที่นักเตะหลุดเดี่ยว ไปดวลตัวต่อตัวกับผู้รักษาประตู แต่ดันยิงไปติดเซฟบ้าง หรือยิงออกไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าลูกทีมของเวนเกอร์แก้ไขในจุดนี้ได้ โอกาสลุ้นแชมป์จะง่ายมากกว่าเดิมอยู่มากโข


7. นักเตะสำรอง(ต้องอัพเกรดตัวเอง)

ข้อนี้จะเชื่อมโยงไปกับข้อที่ 3 นั่นคืออาการบาดเจ็บของผู้เล่น นักเตะตัวจริงของทีมอาร์เซนอลชุดนี้ สามารถต่อกรสู้ได้กับทุกๆทีมในพรีเมียร์ลีก แต่เมื่อผู้เล่นตัวหลักได้รับบาดเจ็บ ผู้เล่นสำรองต้องยกระดับตัวเองให้มีคุณภาพใกล้เคียงผู้เล่นตัวจริงให้ได้มากที่สุด ซึ่งเห็นได้ชัดจากคุณภาพนักเตะตัวสำรองของทีมเชลซี ที่สามารถทดแทนนักเตะตัวหลักอย่างได้อย่างไม่เขอะเขินเลย มีส่วนส่งผลให้ทีมสิงโตน้ำเงินคราม คว้าดับเบิ้ลแชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว


8. สปิริตในทีม (รวมใจปืนหนึ่งเดียว)

ทีมที่มีสปิริตในทีมสูง จะส่งผลให้นักเตะในทีมเล่นด้วยความเข้าใจกันมากขึ้น วิลเลี่ยม กัลลาส เป็นอีกหนึ่งนักเตะที่บั่นทอนสปิริตในทีมปืนใหญ่หายไป ในช่วงที่เขาอยู่กับทีม ซึ่งมีแหล่งข่าววงในออกมาเผยว่า มีนักเตะในทีมอาร์เซนอล 7-8 คนที่ไม่ได้คุยกับนักเตะชาวฝรั่งเศสรายนี้เลย และนี่แหละอาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลเล็กๆที่ทำให้ทีมปืนใหณ่ขาดความเป็นหนึ่งเดียวในช่วงหลายปีหลังที่ผ่านมา


9. สมาธิของนักเตะ (ไม่จบเกม ไม่เหม่อลอย)

ฤดูกาลที่แล้วหลายๆครั้งที่นักเตะทีมปืนใหญ่ขาดสมาธิเพียงวินาทีเดียว นั่นคือสาเหตุทำให้เสียประตูอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะช่วงท้ายๆเกม ที่น่าจะเก็บสามแต้มเต็มได้แล้ว แต่โดนจังหวะโต้กลับทีเดียวทำให้ผลการแข่งขันเปลี่ยนไปเลย ดังนั้นนักเตะชุดนี้ต้องมีสมาธิและความมุ่งมั่นในเกมจวบจนวินาทีสุดท้าย ก่อนที่นกหวีดจะเป่าหมดเวลา จะได้ไม่ต้องมานั่งช้ำใจเมื่อถูกขโมยแต้มไป ในช่วงเวลาไม่กี่วินาที


10. ถ้าไร้พ่าย (ก็ได้แชมป์)

ข้อนี้อาจจะดูเพ้อเจ้อไปหน่อย แต่ลองย้อนกลับไปดูสถิติตั้งแต่เปลี่ยนเป็นมาพรีเมียร์ลีก ยังไม่มีทีมไหนที่ไม่แพ้เลยทั้งฤดูกาลแล้วไม่ได้เป็นแชมป์ เพราะมีทีมปืนใหญ่เป็นเจ้าของสถิตินี้ทีมเดียว สรุปง่ายๆถ้าไม่แพ้ มรึงเอาแชมป์ไปเลย ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้นะ เพราะเคยทำมาแล้ว 555+



NEVERDIE CLUB

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

The Little Mozart Never Dies.

อัจฉริยะทางด้านดนตรีในโลกนี้ คงไม่มีใครกล้าเทียบชั้นกับ "โมซาร์ท" บุรุษผู้ประพันธ์ดนตรีคลาสสิคชาว ออสเตรีย ซึ่งได้รับการยกย่องจากบุคคลวงการดนตรีทุกยุค ทุกสมัย

แต่ละท่วงทำนองดนตรีของ โมซาร์ท ผสมผสานความนุ่มนวล ลื่นไหล ชั่งสุนทรีภาพของผู้ฟังยิ่งนัก

หลังจากที่โมซาร์ทสิ้นชื่อไปหลายศตวรรษ ฟ้าได้จุติตำนาน โมซาร์ท ขึ้นมาใหม่ ซึ่งบุรุษรายนี้ไม่ใช่อัจฉริยะทางดนตรี เหมือนกับ เดอะ มาสเตอร์ โมซาร์ท

กลับกันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ชายร่างเล็กชาว เช็ค ซึ่งได้รับสมญานามจากสื่อ ว่า ลิ้ทเทิ้ล โมซาร์ท เป็นนักเตะระดับอัจฉริยะทางด้านลูกหนัง

ด้วยลีลาพริ้วไหวบนสนาม การเคลื่อนที่ไปกับลูกฟุตบอลอย่ากลมกลืน เขาเป็นตัวกำหนดจังหวะช้าเร็วของเกม กับบทบาทมิดฟิลด์จอมทัพตรงกลางสนามของทีม

โรซิคกี้แจ้งเกิดกับทีม สปาร์ต้า ปราก ด้วยวัยแค่ 17 ปี เขาสามารถพาทีมต้นสังกัดบ้านเกิด คว้าแชมป์ลีกมาครองได้อย่างสง่างาม

หลังจากนั้นทีม "เสือเหลือง" โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จัดการคว้าตัวโรซิคกี้ ไปวาดลีลาในเวที บุนเดสลีก้า และก็ไม่ผิดหวัง เจ้าแป้งอยู่ในรายชื่อนักเตะที่คว้าถาดแชมป์เมืองเบียร์ไปครองในปี 2002

โรซิคกี้ถูกจับตามองจากสื่อเป็นอย่างมาก ว่าจะก้าวขึ้นไปเป็นซุปเปอร์สตาร์ลูกหนังรายใหม่ ในวงการลูกหนัง

แต่กลับมีจุดหักเหในชีวิตการค้าแข้ง นั่นคือการที่เขาย้ายไปร่วมชายคาปืนโต ในปี 2006 ก่อนศึกฟุตบอลโลกที่เยอรมนีจะเริ่มขึ้น

โรซิคกี้มาพร้อมกับความหวังของเหล่าสาวกเดอะกันเนอร์ส ที่จะเห็นสตาร์ร่างเล็กรายนี้โชว์ลีลาเทคนิคอย่างเหนือชั้น ช่วยให้ทีมปืนใหญ่คว้าโทรฟี่ สมกับฉายา เจ้าโมซาร์ทน้อย

โทมัสเริ่มต้นกับทีมปืนใหญ่ ด้วยบทบาทมิดฟิลด์ตัวรุกทางฝั่งซ้าย ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งมิดฟิลด์เพลย์เมกเกอร์ตัวกลาง อย่างที่เขาถนัด ในสมัยที่เล่นให้กับ ดอทมุนด์ และทีมชาติ เช็ค


ด้วยความสามารถและเทคนิคอันเปี่ยมล้น ทำให้เจ้าแป้งเอาตัวรอดไปได้ กับปีแรกของเขาในศึกพรีเมียร์ลีก แต่หลังจากนั้นด้วยสภาพร่างกายเปราะบาง

ทำให้โรซิคกี้ประสบกับปัญหาอาการบาดเจ็บอย่างเรื้อรัง ในฤดูกาล 2008 -2009 กัปตันทีมชาติเช็ค โดนอาการบาดเจ็บพรากตัวเขาไปแทบทั้งซีซั่นเลย...

โรซิคกี้หายเจ็บกลับมา เล่นได้เพียงไม่กี่นัด ก็ต้องกลับไปรักษาตัวอีก ดูๆแล้วอาการบาดเจ็บกับเขา เป็นของคู่กัน!!!

โรซิคกี้พรากอาการบาดเจ็บกลับมาเล่นได้อย่างสม่ำเสมออีกครั้ง แต่ฟอร์มในสนามที่ดูคิดช้าทำช้า การเคลื่อนที่ไม่พริ้วไหว เหมือนกับจอมทัพทีมเสือเหลืองแต่ก่อน

หลายๆคนบอกว่า เดอะ ลิทเทิ้ล โมซาร์ท ในวิญญาณของ โรซิคกี้ ตายไปพร้อมกับ ต้นฉบับ โมซาร์ทไปแล้ว !!!

แต่ผมกลับมองต่างกัน โรซิคกี้ ยังมีวิญญาณ โมซาร์ท อยู่ในตัวเปี่ยมล้น แต่กลับไม่ได้มีโอกาสใช้

โรซิคกี้ มักถูกเวนเกอร์จับให้ไปเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ริมเส้นอยู่ตลอดในทีมปืนใหญ่ ซึ่งมันไม่ใช่ตำแหน่งที่แสดงประสิทธิภาพของ เดอะ ลิ้ทเทิ้ล โมซาร์ท ได้อย่างเต็มที่

โรซิคกี้ไม่ใช้ผู้เล่นที่มีความเร็วสูง นิสัยการเล่นของเขาคือชอบพลิกบอลออกทางฝั่งซ้ายและขวา ซึ่งนี่แหละล้วนคือคุณสมบัติที่ไม่เหมาะกับตำแหน่งผู้เล่นริมเส้นอย่างสิ้นเชิง

อีกหนึ่งจุดเด่นของเขาที่ถูกลดทอนไปกับตำแหน่งริมเส้น คือการสอดขึ้นไปยิงทางแถวสองอย่างแม่นยำ ที่ไม่มีให้กับโรซิคกี้ ณ. ปัจจุบันนี้

ในเอมิเรสต์ คัพ นัดที่สอง โรซิคกี้กลับมาสวมบทบาทมิดฟิลด์ตัวกลางอีกครั้ง ในรอบหลายปี ผมเห็นเจ้าแป้งกลับมาสนุกกับโลกฟุตบอลอีกครั้งการเคลื่อนที่ไปกับลูกบอลอย่างนิ่มนวล พลิกบอลออกซ้ายที ขวาที และการจ่ายบอลอย่างปราณีตแม่นยำ

"ทำให้ผมเชื่อว่า วิญญาณ เดอะ ลิทเทิ้ล โมซาร์ท ของโรซิคกี้ ยังไม่ตาย!!! ถ้าเขาได้กลับมาเล่นในตำแหน่งจอมทัพ มิดฟิลด์ตรงกลางสนาม อีกครั้ง!!! "

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"Home Grown" กฎใหม่ บันไดแจ้งเกิดเด็กนรกปืน!!

เฮนรี่ แลนบิวรี่ หนึ่งในตัวแทนเด็กนรกปืน ที่พร้อมก้าวสู่ทีมชุดใหญ่


คำว่า "Home Grown" ถ้าแปลตามตัวหมายถึง พื้นบ้าน (นักเตะท้องถิ่น)

เข้าเรื่องกันดีกว่าครับ กฎโฮมโกว์นที่เพิ่งคลอดมาใหม่ เริ่มใช้ในฤดูกาล 2010 - 2011 ที่กำลังจะมาถึง หลายท่านอาจยังสงสัยว่ากฎนี้ มันคือกฎอะไร มีรายละเอียดอะไรบ้าง ผมจะขออธิบายสั้นๆ เพื่อความเข้าใจดังนี้

กฎโฮมโกว์น สามารถให้แต่ละทีมลงทะเบียนรายชื่อนักเตะ แค่ 25 รายเท่านั้น และต้องมีนักเตะที่สังกัดทีมในลีกอังกฤษหรือเวลส์ก่อนอายุครบ 21 ปีเป็นเวลา 3 ฤดูกาลขึ้นไป อยู่ในทีมอย่างน้อยถึง 8 คน ในรายชื่อนักเตะ 25 รายที่จะลงทะเบียน

แต่มีข้อยกเว้น คือ นักเตะที่อายุต่ำกว่า 21 ปีไม่ว่าจะเป็นชาติใดก็ตาม จะสามารถลงสนามได้เลย โดยไม่ต้องลงทะเบียนในโควตาผู้เล่น 25 คนของทีมแต่อย่างใด

นี่แหละครับ คือโอกาสของนักเตะ wonder kid เยาวชนของทีมปืนเรา เพราะดาวรุ่งพวกนี้สามารถเป็นแบ็คอัพให้กับ ผู้เล่นที่ลงทะเบียนทั้ง 25 คน

ซึ่งเวนเกอร์สามารถส่งเด็กนรกเหล่านี้ ลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ได้เลย โดยไม่ผิดกฎแต่อย่างใด

กฎนี้ทำให้ทีมอาร์เซนอลได้เปรียบทีมคู่แข่งเป็นอย่างมาก เพราะผู้เล่นดาวรุ่งอายุต่ำกว่า 21 ปี ที่จะเป็นแบ็คอัพให้กับนักเตะลงทะเบียน 25 ราย มีความสามารถใกล้เคียงกับนักเตะทีมชุดใหญ่มากกว่าทีมอื่นๆ ที่มีดาวรุ่งในทีมชุดเยาวชนโดดเด่นขึ้นมาแค่ 1-2 รายเท่านั้น ผิดกับทีมปืนใหญ่ที่มีเด็กนรกชั้นดี 6-7 ราย ที่พร้อมสอดแทรกขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น เฮนรี่ แลนบิวรี่, เจย์ เอ็มมานูเอล โทมัส, เอ็มมานูเอล ฟริมปรง, เจย์ ซิมป์สัน, วอคเนียค เซอเซ็กนี่ย์ และ ฮาเวิร์ด นอทเวียต

ส่วนทีมที่ได้รับผลกระทบจากกฎนี้มากที่สุด คงหนีไม่พ้นทีม เศรษฐีเรือใบ แมนเชสเตอร์ ซิติ้ ที่จะต้องขายนักเตะทีมชุดใหญ่ทิ้งไปถึง 12 ราย จากเดิม ที่มีนักเตะทีมชุดใหญ่อยู่ 37 คน ต้องลดจำนวนนักเตะให้เหลือ 25 ราย ก่อนเวลาขีดเส้นตายลงทะเบียนนักเตะ ไม่แน่!!!บางทีสากอเดบายอร์อาจโดนขายทิ้งออกจากทีมไปก็ได้ (นี่คือแรงอธิฐานส่วนตัว ของผม 555+)

ผลกระทบเอฟเฟคจากกฏนี้ เห็นได้ชัดเจนมาก เมื่อตลาดการซื้อขายนักเตะเงียบเหงามาก โดยเฉพาะทีมบิ๊ก 4 ทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเชลซี ไม่ค่อยกล้าซื้อผู้เล่นบิ๊กเนมมาเกินโควต้าของทีม

ผู้เล่นอย่าง คริส สมอลลิ่ง หรือ ดาเนียล สเตอริดจ์ ที่ฝีเท้ายังห่างไกล นักเตะระดับทีมบิ๊ก 4 อยู่มาก แต่เหตุผลที่ทั้ง 2 ทีมนี้เซ็นผู้เล่น 2 ราย เพราะนักเตะเหล่านี้สามารถรองรับกับกฎ โฮมโกว์นได้


ผมไม่แปลกใจเลย ที่เวนเกอร์ไม่ค่อยออกมาโจมตีกฎนี้ซักเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับกฎ 6+5 ของยูฟ่า ที่เวนเกอร์ออกอาการแอนตี้มาก เพราะกฎโฮมโกว์นทำให้ ทีมปืนใหญ่ครองความได้เปรียบทีมอื่นไปเต็มๆ นักเตะโฮมโกว์นของเวนเกอร์มีอยู่ล้นทีมชุดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น คาลอส เวล่า, นิคลาส เบนด์เนอร์, เซสก์ ฟาเบรกัส, ธีโอ วัลคอตต์ และอีกหลายๆราย

แถมนักเตะเยาวชนอายุตำ่กว่า 21 ปีของทีมที่ไม่ได้ลงทะเบียน ก็มีโอกาสลงเล่นทีมชุดใหญ่ได้อีก ทำให้เวนเกอร์มีผู้เล่นอยู่ในมือที่พร้อมจะใช้งานมากกว่าทีมอื่นอยู่หลายโข

สุดท้าย กฎพื้นบ้านนี้แหละ ที่พร้อมจะดันนักเตะท้องถิ่น(เด็กนรกของทีมปืนโต) ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้ง่ายกว่าเก่า เพราะจะไม่ค่อยมีสตาร์ต่างชาติมาปิดทางแจ้งเกิด เหมือนในอดีต...


NEVERDIE CLUB

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Joe Cole English Style Arsenal



ถ้านิยามคำว่า อาร์เซนอล สไตล์ คงหมายถึง ทีมที่เล่นฟุตบอล
โดยเน้นเกมรุกอย่างสวยงาม ส่งบอลเท้าต่อเท้า แต่ละถ่วงท่าตรึงตาตรึงใจแฟนบอล!!!

แล้วสไตล์นักเตะเกมรุกของทีมปืนใหญ่ล่ะ ก็คงหนีไม่พ้น นักเตะจอมเทคนิค เล่นด้วยสมอง มากกว่าพละกำลัง หรือสมรรถภาพทางร่างกาย ซึ่งนี่แหละล้วนคือคุณสมบัตินักเตะเกมรุกที่เข้าสเปคของกุนซือเฟร้นซ์แมน นามว่า อาแซน เวนเกอร์

ไล่เรียงชื่อนักเตะแนวรุกของทีมเดอะกันเนอร์ส ไม่ว่าจะเป็น เซสก์ ฟาเบรกัส ,ซามีร์ นาสรี่ ,อังเดร อาร์ชาวิน ,โทมัส โรซิคกี้ และอีกหลายๆราย ล้วนแต่เป็นสตาร์จอมเทคนิคทั้งนั้น คงจะยกเว้น ธีโอ วัลคอตต์ นักเตะชาวอังกฤษคนเดียวเสียกระมัง

นักเตะอังกฤษขึ้น ชื่อลือชาอยู่แล้วครับ ว่าเล่นฟุตบอลโดยเน้นพละกำลัง อย่างเช่นในรายของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ เวร์น รูนี่ย์ ที่วิ่งพล่านทั่วสนามอย่างไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย หรือ จะเป็นนักเตะที่ใช้ความสามารถทางร่างกาย เช่นในราย ธีโอ วัลคอตต์ และ อารอน เลนน่อน ที่มีความเร็วสูงเอาไว้โจมตีคู่แข่งทางริมเส้น

นักเตะจอมเทคนิคชาวอังกฤษ หาได้น้อยมาก เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร ถ้าย้อนไปในอดีต คงจะมีเจ้าพ่อมด แม็ทธิว เลอ ทิสซิเอร์ และ ไอ้อ้วนซ่า พอล แกสคอยน์ ที่เคยโชว์เทคนิคลีลาในสนามอย่างมหัศจรรย์ ตรึงตาตรึงใจแฟนฟุตบอลอย่างไม่มีวันลืมเลือน

กลับมาปัจจุบันครับ ลองไล่เรียงหานักเตะจอมเทคนิคในเกาะอังกฤษ ซึ่งค้นพบนักเตะสไตล์แบบนี้เพียวๆเหลือ แค่ 2 รายเท่านั้น นั่นคือ เจ้าหนู แจ็ค วิลเชียร์ นักเตะดาวรุ่งของทีมไอ้ปืนใหญ่ และ โจ โคล นักเตะฟรีเอเยนต์สังกัดทีมเชลซี ที่เคยถูกเปรียบเทียบว่าเป็น ซีเนอดีน ซีดาน เวอร์ชั่นอังกฤษ

ซึ่ง ณ.ตอนนี้ โจ โคล ตกเป็นข่าวหนาหู แทบทุกวัน ว่าจะย้ายมาซบทีมปืนใหญ่แบบไม่มีค่าตัว

ถ้าอดีตเด็กปั้นเวสต์แฮม มาอยู่ถิ่นเอมิเรตส์จริง ตามรายงานข่าว หลายคนต่างตั้งข้อสงสัยว่า นักเตะหน้าหยกรายนี้ จะเล่นเข้ากับระบบทีมอาร์เซนอลได้หรือ?

ผมก็ไม่สามารถการันตีได้ 100 เปอร์เซ็นต์หรอก ว่า โจ โคล จะปรับเข้ากับระบบทีมเราได้หรือเปล่า!!!

แต่ ที่แน่ๆถ้าโคลขาวย้ายมาอยู่กับทีมอาร์เซนอลจริง ทีมปืนใหญ่จะมีนักเตะชาวอังกฤษจอมเทคนิคที่เหลืออยู่ในยุคนี้ มาครอบครองถึง 2ราย 555


NEVERDIE CLUB

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"มิดฟิลด์ตัวรับ กับ มิดฟิลด์ลูกรัก"




เวนเกอร์ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า ช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะที่จะมาถึง หลังจากจบฤดูกาลนี้ จะไม่มีการเสริมทัพผู้เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์อย่างแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะเขาค่อนข้างพอใจกับพัฒนาการของ อาบู ดิยาบี้ เดนิลสัน และเคร็ก อีสต์มอนต์ (ตรงไหนหว่า?)

นั่นหมายความว่า ตำแหน่งมิดฟิลตัวรับ ที่มีปัญหาอยู่นั้น จะไม่มีการเสริมทัพแต่อย่างใด !!!

ใช่ครับบอส อเล็กซ์ ซง มีคุณภาพดีพอ ที่จะเป็นมิดฟิลด์ตัวรับมือ 1 ของทีมไอ้ปืนใหญ่ แต่ถ้าในฤดูกาลหน้า ทีมอาร์เซนอลเกิดดวงแตก มิดฟิลด์ตัวรับชาวแคมมารูนได้รับบาดเจ็บหนัก ต้องพักยาวหลายเดือน แล้วทีนี้ใครจะมาทดแทน ซง ล่ะ

คำตอบจากป๋าเหี่ยว แฟนๆคงเดาพอกันรู้ นั่นคือ เดนิลสัน มิดฟิลด์ผู้เป็นลูกรักของป๋า เวนเกอร์ ผู้ที่คอยประคบประหงม หวังว่าซักวันนักเตะชาวบราซิลรายนี้ จะโด่งดังคับฟ้าเหมือน เซสก์ ฟาเบรกัส ส่วนตัวเลือกที่ 3 คงหนีไม่พ้น มิดฟิลด์นมเพิ่งแตกพานนามว่า เคล็ก อีสต์มอนต์ ...

คำจำกัดความของ "นักเตะลูกรัก" หมายถึง นักเตะที่เล่นได้ห่วยแตกในสายตาของแฟนบอล แต่ก็ยังได้รับโอกาสจากผู้จัดการทีมอยู่อย่างเสมอ เปรียบเสมือนนักเตะรายนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ของผู้จัดการที่ให้โอกาสเสียจริงๆ ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ก็ลองเหลือบไปมองดูทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล มีมิดฟิลด์ลูกรักนามว่า ลูคัส เลวว่ะ(เลว่า) ที่เล่นได้ย่ำแย่สม่ำเสมอแค่ไหน ขอเพียงแค่ให้เขาฟิต รับรองราฟาการันตีตำแหน่ง 11 จริงอย่างแน่นอน...

ทำไมเดนิลสันถึงไม่เหมาะกับตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ (Defensive Midfielder) ก็เพราะตำแหน่งนี้ไม่ใช่ตำแหน่งถนัดของเขา เดนิลสันเหมาะสมที่สุดกับตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง (central Midfielder) ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมเกม เล่นเกมรุกบวกกับเกมรับพอกันๆ

ด้วยรูปร่างของเดนิลสันที่เล็กบอบบาง สภาพจิตใจที่ไม่เข้มเข้น สไตล์การเล่นที่ไม่ดุดัน นี่แหละคือเหตุผลประการทั้งปวง ที่เจ้าสันไม่เหมาะกับหน้าที่ตัวตัดเกมเลย มีอย่างเดียวครับที่เดนิลสันจะเล่นมิดฟิลด์ตัวตัดเกมได้ดี นั่นคือตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ น่าจะสมเหตุสมผลที่สุด!!!

ถ้าใครยังจำกันได้ ในช่วงแรกที่เดนิลสันเข้ามาสู่ทีมปืนใหญ่ อดีตกัปตันทีมบราซิลชุดเยาวชนรายนี้ เคยถูก เธียร์รี่ อองรี ชมเปาะว่าเป็นนักเตะที่ปรับตัวเข้ากับทีมเร็วที่สุด นับตั้งแต่คิงอองรีมาอยู่กับทีมปืนใหญ่เสียทีเดียว

ปีแรกกับทีมเดอะ กันเนอร์ส เดนิลสันในบทบาทมิดฟิลด์ตัวกลาง (Central Midfielder) ซึ่งเป็นตัวแบ็คอัพให้กับฟาเบรกัส เขาเป็นผู้เล่นที่ปรับตัวได้เร็ว จ่ายบอลง่าย ดูนิ่ง ไม่ลนลานเหมือน ณ.ตอนนี้ ผมยังงงๆว่าทำไมเดนิลสันคนก่อนกับปัจจุบัน ถึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เดนิลสันในปี2010 ทำไมๆดูเหมือนคนขาดความมั่นใจ

ถ้าให้ผมวิเคราะห์ อาจจะเกิดจากสาเหตุที่เวนเกอร์ดึงดันให้เดนิลสันเล่นในตำแหน่งที่เขาไม่ถนัด จุดเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อน ทีมอาร์เซนอลเสีย จิลแบร์โต้ ซิลวา กับ มาติเยอ ฟลามินี่ ไปพร้อมๆกัน ทำให้เวนเกอร์วางเดนิลสัน เป็นมิดฟิลด์ตัวรับเบอร์ 1 ของทีม ณ.ตอนนั้น ซงรับบทเป็นแค่พระรองของเดนิลสัน..

เดนิลสันถูกทอนความมั่นใจไปเรื่อยๆ กับตำแหน่งที่ตนเองไม่ถนัด จนถึงในฤดูกาลนี้ เวนเกอร์ปรับระบบแผนการเล่นของทีมจาก 4-4-2 เป็น 4-3-3

นั่นหมายถึง จากเดิมระบบ 4-4-2 ใช้มิดฟิลด์ตรงกลางสนาม ที่ไม่ใช่มิดฟิลด์ริมเส้น 2 ตัวคือ
- มิดฟิลด์ตัวรับ (Defensive Midfielder)
- มิดฟิลด์ตัวกลาง (central Midfielder)

ปรับเป็นระบบ 4-3-3 ใช้มิดฟิลด์ตรงกลางสนาม ที่ไม่ใช่มิดฟิลด์ริมเส้น 3 ตัวคือ
- มิดฟิลด์ตัวรับ (Defensive Midfielder)
- มิดฟิลด์ตัวกลาง หรือมิดฟิลด์ตัวเชื่อมเกม (central Midfielder) Or (Holding Midfield)
- มิดฟิลด์กลางตัวรุก หรือเพลย์เมกเกอร์ (Attacking Midfielder Centre) Or (Playmaker)

เดนิลสันถูกดันกลับไปเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง(ตัวเชื่อมเกม) ซึ่งเป็นตำแหน่งเดิมที่ตนเองถนัด แต่ก็ยังโชว์ผลงานไม่ประทับใจเท่าที่ควร เนื่องจากถูกบั่นทอนความ มั่นใจไปอย่างแรง

ในปีนี้ยามที่ซงได้รับบาดเจ็บ เดนิลสันถูกเวนเกอร์ ถอยให้มาเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับอีกครั้ง และนี่ก็คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทีมปืนใหญ่ พลาดแชมป์ 2 ถ้วยใหญ่ ในช่วงบั้นปลายของซีซั่น เพราะในยามเมื่อทีมขาดซง เดนิลสันยังทดแทนไม่ดีพอ ทำให้พลาดท่าพ่ายให้กับคู่แข่ง จนในที่สุดก็ไร้ถ้วยไปอีกฤดูกาล

มีคนบอกว่าเวนเกอร์เจ็บแล้วไม่ยอมจำ อันนี้ผมเชื่อนะ เพราะสาเหตุที่ทีมเราไร้แชมป์ในปีนี้ ปัญหาตรงตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญเลยทีเดียว

ดูจากรายชื่อนักเตะเชิงรับ ที่ตกเป็นข่าวกับทีมเรายาวเป็นหางว่าว ไล่ตั้งแต่ ฟิลิปส์ เมโล่, ลูอิส ซาน่า, กอกคาน อินแลร์, สก็อต ปาร์คเกอร์ ,เฟอร์นันโด กาโก้

ขอซักตัวนะครับป๋า ถ้าปีหน้ายังหวังคิดที่จะเป็นแชมป์อยู่ 555

ปล. เดนิลสันไม่ใช่ว่าไม่เก่งนะ แต่ผมว่าเขาขาดความมั่นใจ ถ้าจำไม่ผิดมีอยู่ปีนึง เดนิลสันเป็นนักเตะที่ผ่านบอลได้สำเร็จมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีก รองจาก ชาบี้ อลอนโซ่ ในสมัยที่คุณชายยังค้าแข้งอยู่กับทีมหงส์แดง...



NEVERDIE CLUB

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

Arshavin " กระจกสะท้อนปืนใหญ่ หรือ นักเตะทำลายสปิริตทีม "

Arshavin, Andrei, 03 Sep 08

ก่อนเปิดซีซั่น 2009-2010
" ผมว่าทีมเราต้องเสริมทัพด้วยนักเตะบิ๊กเนมบ้าง เพื่อหวังขับเขี่ยวแย่งแชมป์กับทีม ยูไนเต็ด และเชลซี อย่างสูสี "

หลังเกมที่แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ฤดูกาลนี้
" ผมว่านักเตะในทีมเราต้องมีคาเร็กเตอร์เป็นผู้ชนะมากกว่านี้ ถ้าหากจะชนะทีมแข่งแกร่ง อย่าง ยูไนเต็ด "

หลังเกมที่ทีมปืนใหญ่ เสมอกับทีม บาเซโลน่า 2-2
" ฤดูกาลนี้ ผมคงไม่สามารถลงเล่นให้กับทีมอาร์เซนอลได้แล้วล่ะ "

หลังจากเกม เสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-0
"บาร์ซ่า เป็นทีมที่ดีที่สุดในโลก ผมรู้สึกสนุกกับสไตล์การเล่นของพวกเขาเป็นอย่างมาก แต่หลังจากได้ดูพวกเขาเล่นกับ อาร์เซน่อล ความสนุกสนานก็เปลี่ยนเป็นความเศร้าในทันที"

เมื่อถูกถามว่าทำไม บาร์เซโลน่า ถึงพ่าย อินเตอร์ มิลาน 1-3
" ทั้งหมดคือเวทมนตร์ของโชเซ่ เขาเป็นอัจฉริยะ ผมคิดว่ามีโค้ช 3 คนที่ถือว่าดีที่สุดในโลก ฟาบิโอ คาเปลโล่ , โชเซ่ มูรินโญ่ และ กุส ฮิดดิ้งค์ ถ้าผมต้องเลือกโค้ชสักคนมาคุมทีมชาติรัสเซีย ผมคงเลือก 1 ใน 3 คนนี้มาเป็นนายใหญ่ของเรา อาร์แซน เวนเกอร์ ก็เป็นโค้ชที่ดี แต่ไม่ใช่สำหรับ รัสเซีย"

นี่คือคำให้สัมภาษณ์
ทั้ง หมดของพี่ม้า ที่ผมรวบรวมขึ้นมาในฤดูกาลนี้ ข้อสังเกตุคือ อาร์ชาวินมักจะออกมาให้สัมภาษณ์ในเชิงลบ(ในความคิดของแฟนปืน) ต่อสโมสรอยู่เสมอ เมื่อทีมอยู่ในช่วงวิกฤติ

วนเกอร์เคยออกมาปกป้องลูกทีมชาวรัสเซีย ของตนเองว่า อาร์ชาวินมักเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย แต่เขาไม่มีเจตนาสร้างความปั่นป่วนให้กับทีม

ผลตอบรับของแฟนบอล อาร์ชาวินก็เก่งนะ แต่ทำไมการออกมาสัมภาษณ์แต่ละที เขาทำเหมือนไม่มีเยื้อใยกับสโมสร โดยเฉพาะฟางเส้นสุดท้าย กับคำสัมภาษณ์ที่ว่า พี่ม้ายังใฝ่ฝันที่จะเล่นให้กับทีมบาซ่าอยู่ ถึงกับเวนเกอร์ ที่ทุกๆครั้งต้องออกมาปกป้องลูกทีมอยู่เสมอ แต่คราวนี้กลับมีปฏิกิริยาออกมาตอบโต้ทันทีว่า อาร์ชาวินควรให้เกียรติสโมสรให้มากกว่านี้!!!

ส่วนในแง่มุมของผม ผมกลับวิเคราะห์ว่า พี่ม้านี่แหละ คือกระจกใบใหญ่ที่สะท้อนผลงานของทีมเราเลย ทุกๆครั้งที่ทีมปืนใหญ่มีผลงานที่ย่ำแย่ พี่ม้าจะออกมามีปฏิกิริยาต่อทีมทันที เหมือนกับเป็นการกระตุ้นบอกเวนเกอร์เป็นนัยๆว่า ถึงเวลาปรับ,เปลี่ยนแปลงทีมได้บ้างแล้ว ไม่ใช่ย่ำอยู่กับที่ เพราะนักเตะระดับสตาร์อย่างเขา และอีกหลายคนในทีม ไม่ต้องการเป็นเพียงแค่ทีมลุ้นแชมป์ โทรฟี่และเกียรติยศ มีคุณค่าทางจิตใจ มากกว่าค่าเหนื่อยมหาศาลที่ทีมจะรั้งพวกเขาไว้เสียอีก

เหมือนในรายของ เธียร์รี่ อองรี ที่อำลา
ทีมปืนใหญ่ไปเพราะสาเหตุ ว่า ต้องการความสำเร็จระดับยุโรปกับถ้วยหูโต ในช่วงชีวิตหนึ่งของตนเองบ้าง (และก็สมหวังไปแล้ว) ทั้งที่ในตอนนั้นทีมอาร์เซนอลพยายามรั้งพี่ห้อยไว้กับทีม ด้วยค่าเหนื่อย 120,000 ปอนด์ ต่อวีค แต่ทีมก็รั้งอองรีไว้ได้แค่เพียงปีเดียว

พี่ม้าที่เหมือนออกมาป่วนทำลายสปิริตของทีม แต่เจตนาเพื่อกระตุ้นให้ป๋าเหี่ยว เสริมทัพทีมด้วยนักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์ที่มากประสบการณ์บ้าง ไม่ใช่ดึงดันจะปั้นแต่ดาวรุ่งเพียงอย่างเดียว ความผิดหวังโดยที่ทีมปืนใหญ่ไร้ถ้วยระดับมาสเตอร์ มาประดับตู้ในสโมสร 5 ปีติด คงจะสะท้อนอุดมการณ์ บางอย่างที่ผิดพลาด ของเวนเกอร์ได้แล้วนะ

ไม่แน่นักเตะอย่าง เซสก์ ฟาเบรกัส จะอดทนรอกับความสำเร็จลมๆแล้งๆของทีมอาร์เซนอลได้นานแค่ไหน แฟนปืนอย่านึ่งนอนไป เพราะฟาเบรกัสไม่มาออกพูด
แรงๆแบบอาร์ชาวิน เพราะเซสก์ยังคงติดที่เป็นหนี้บุญ คุณเวนเกอร์ ผู้ที่ปลุกปั้นเขาให้เขาโด่งดังอยู่

ถึง ณ.ตอนนี้ อาร์ชาวินคือตัวปัญหาของเวนเกอร์ และแฟนปืน ซึ่งแน่นอนว่าบอสหน้าเหี่ยว ต้องทำอะไรซักอย่างกับนักเตะสตาร์รัสเซียรายนี้ ?

ข้อแรกคือ ปล่อยอาร์ชาวินออกจากทีม เพื่อคงสปิริตของลูกทีมไว้ เหมือนกับฤดูกาลที่แล้ว ที่เวนเกอร์ปล่อย ตูเร่ กับอเดบายอร์ นักเตะจอมปัญหาออกจากทีม เพื่อเรียกสปิริตของลูกทีมกลับคืนมา แต่ผลกระทบคือ คุณภาพผู้เล่นลดลง ซึ่งทีมเสียสากยอกับตูเร่ออกไป แต่กลับได้แฟร์มาเล่นมาเพียงแค่คนเดียว

ข้อที่สองคือ เวนเกอร์วางตัวอยู่เฉย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้เวลาลบเรื่องราวบาดหมางระหว่างเขากับอาร์ชาวินออกไป พร้อมกลับมาสานอุดมการณ์ตัวเองต่ออย่างเดิม

ข้อสุดท้ายที่ผมอยาก เห็นจากเวนเกอร์ที่สุดคือ เก็บอารฺ์ชาวินไว้กับทีม พร้อมผ่าตัดเปลี่ยบแปลงทีม เสริมผู้เล่นที่มากประสบการณ์ซัก 2-3 ราย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีมเพื่อสู้ศึกในฤดูกาลหน้า

บางทีอาร์ชาวินอาจหายงอนป๋าก็ได้นะ และเวนเกอร์อาจคือกุนซือมหัศจรรย์คนที่ 4 ที่อาร์ชาวินอยากให้มาคุมทีมรัสเซีย 555


NEVERDIE CLUB

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

[สกู๊ปพิเศษ]ใครคือคู่หูคนเหล็กรายต่อไป ?

กราบสวัสดีท่านผู้อ่านทุกๆท่าน กลับมาพบกันอีกแล้วครับ สำหรับคอมลัมน์ดีๆมีสาระ(จริงเปล่าว่ะ)555 วันนี้กระผมขอเล่นประเด็น นักเตะที่จะมาทดแทนการจากไปของ วิลเลี่ยม กัลลาส ปราการหลังทีมชาติฝรั่งเศสของทีมปืนใหญ่ ที่อุส่าห์ยืนหยัดอยู่กับทีมจนครบสัญญา 4 ปี ถึงจนบัดนี้เขากลายเป็นนักเตะฟรีเอเยนส์ไปเสียแล้ว สามารถเซ็นสัญญาย้ายทีมล่วงหน้ากับทีมอื่นได้อย่างไม่ผิดกฎ

ต้องขอบอกแฟนปืนอย่างเดียวครับ ต้องทำใจ ว่าทีมปืนใหญ่คงเสีย กัลลาส ไปให้กับทีมอื่นแบบฟรีๆประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ เพราะสัญญาที่่ทีมปืนโตยื่นให้อดีตเซ็นเตอร์แบ็คของทีม โอลิมปิค มาร์กเซย์ เซ็นนั้น เป็นการหักคอกัลลาสเสียเลย ข่าวบางสำนักบอกว่า ทีมปืนใหญ่ลดค่าเหนื่อยของกัลลาสถึงครึ่งต่อครึ่งเพื่อต่อสัญญา 2 ปี หรือบางแหล่งข่าวก็รายงานว่า เวนเกอร์ต้องการต่อสัญญากัลลาสเพียงแค่ 1 ปี ทั้งที่เจ้าตัวต้องการอนาคตที่มั่นคงกับสัญญายาว 2 ปี...

สมมุติครับ!!! ว่ากัลลาสไม่ต่อสัญญากับทีมปืนใหญ่จริงๆ (ทั้งที่ก็มีความเป็นไปได้สูง) แล้วใครละครับ ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นเซ็นเตอร์แบ็คตัวจริง เป็นคู่หูกับคนเหล็ก ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับแนวรับทีมปืนใหญ่ ทุกท่านๆลองไปติดตามชมสกู๊ปพิเศษที่ผมเรียบเรียงมากันครับ...



1. Brede Hangeland
เบรเด้ ฮันเกลันด์ ปราการหลังร่างโย่ง ดีกรีทีมชาตินอร์เวย์ ย้ายสังกัดมาร่วมทีมฟูแล่มเมื่อฤดูกาล 2007-2008 และในปีแรกของเขากับทีมเจ้าสัวน้อย ฮังเกรลันด์ช่วยให้ทีมจากย่านลอนดอนมีสถิติการเสียประตูน้อยลง เป็นทีมที่มีเกมรับที่เหนียวแน่นขึ้น ด้วยรูปร่างเขาที่สูงใหญ่ ถนัดป้องกันลูกกลางอากาศ ถ้าได้นักเตะรายนี้มาร่วมชายคาทีมปืนใหญ่ ผมว่าน่าจะลงตัวพอดี เพราะแฟร์มาเล่นมีความคล่องตัวทางบอลดี บวกกับฮังเกลันด์รูปร่างสูงใหญ่ช่วยป้องกันการโจมตีจากทางอากาศ น่าจะทำให้สถิติการเสียประตูของทีมปืนใหญ่ลดลงจากเดิมอยู่มาก..
- ค่าตัวประมาณ 10 - 15 ล้านปอนด์
- ความน่าเป็นไปได้ที่จะย้ายมาร่วมทีมอาร์เซนอล 40 %



2. Neven Subotic
เนเว่น ซูโบติซ แผงหลังจอมแข็งแกร่งของทีมเสือเหลือง โบรุสเซีย ดอทมุนด์ นักเตะดาวรุ่งชาวเซอร์เบี่ยนรายนี้ได้รับการยอมรับจากสื่อ ว่าจะเป็นอนาคตของทีมชาติเซอร์เบียตามรอยรุ่นพี่อย่าง เนมันย่า วิดิซ ปราการจอมแข็งแกร่งจากทีม แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด นักเตะอายุ 21 ปีรายนี้ตกเป็นข่าวว่า อาแซน เวนเกอร์สนใจดึงตัวมาร่วมถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี่ยมบ่อยครั้ง เนื่องจากเจ้าตัวเป็นผู้เล่นอายุน้อย อยู่ในแนวทางการทำทีมของกุนซือหน้ารายเหี่ยว สำหรับประสบการณ์ของซูโบติซคงไม่มีปัญหา เพราะเจ้าหมอนี่เริ่มต้้นเล่นฟุตบอล ในศึกบุนเดสลีก้าตั้งแต่อายุยังน้อยกับทีม ไมซ์
- ค่าตัวประมาณ 12 - 17 ล้านปอนด์
- ความน่าเป็นไปได้ที่จะย้ายมาร่วมทีมอาร์เซนอล 30 %



3. Gary Cahill
แกรี่ เคฮิลล์ อดีตนักเตะปั้นของทีม แิอสตัน วิลล่า เคฮิลล์ทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ย้ายออกจากถิ่นวิลล่าปาร์ค มาด้วยค่าตัวประมาณ 5 ล้านปอนด์ จนเคยถูกคาเปลโล่เรียกติดทีมชาติชุดใหญ่ ดาวเตะวัย 24 สังกัดทีมปัจจุบัน โบลตัน วันเดอเรอร์ส ตกเป็นข่าวหนาหูว่าทีมปืนใหญ่และทีมหงส์แดง ต่างต้องการคว้าตัวไปร่วมทีมในฤดูกาลหน้า ไม่แน่ปัญหาบาดอาการเจ็บของผู้เล่นแผงหลังในทีมชาติอังกฤษ คาเปลโล่อาจจะหนีบปราการหลังอนาคตไกลรายนี้ ไปร่วมทีมที่แอฟริกาใต้อย่างสุดเซอร์ไพรท์ก็ได้
- ค่าตัวประมาณ 8 - 12 ล้านปอนด์
- ความน่าเป็นไปได้ที่จะย้ายมาร่วมทีมอาร์เซนอล 30 %



4. Pape Diakhate
ปาเป้ ดิอากาเต้ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีม ดินาโม เคียฟ จากลีกยูเครน ปราการหลังกัปตันทีมชาติเซเนกัลวัย 25 ปี ตกเป็นข่าวล่าสุดว่าอาแซน เวนเกอร์นายใหญ่จากค่ายอาร์เซนอลต้องการคว้าตัวไปร่วมทีม ด้วยรูปร่างที่ใหญ่แข็งแกร่งตามสไตล์นักเตะแอฟริกา น่าจะทำให้กัปตันทีมชาติเซเนกัลรายนี้ มาช่วยเสริมความแข็งแกร่งในแนวรับของทีมปืนใหญ่ได้เป็นอย่างมาก ซึ่งสัญญาของดิอากาเต้ เหลือกับยอดทีมจากลีกยูเครนแค่อีก 1 ปีเอง น่าจะช่วยให้เวนเกอร์ลดต้นทุนสำหรับการเสริมทัพเป็นอย่างมากเลย
- ค่าตัวประมาณ 2.5 - 5 ล้านปอนด์
- ความน่าเป็นไปได้ที่จะย้ายมาร่วมทีมอาร์เซนอล 40 %



5. Johan Djourou
โยฮัน ฌูรู ปราการหลังตัวกลางของทีมปืนใหญ่ อาร์เซนอล เลื่อนชั้นจากนักเตะชุดเยาวชน ขึ้นสู่ผู้เล่นชุดใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย นักเตะทีมชาติ สวิสเซอร์แลนด์เพื่อนร่วมทีมกับ ฟิลิปส์ เซ็นเดอร์รอส จัดเป็นผู้เล่นที่ทักษะทางบอลดีมาก เล่นลูกกลางอากาศได้ดี ถึงแม้จะมีปัญหาเล็กน้อยในเรื่องสปีดความเร็ว ในฤดูกาลนี้ฌูรูโชคร้ายได้รับบาดเจ็บหนัก ต้องพักยาวตลอดทั้งซีซั่น ผมเชื่อว่าในฤดูกาลหน้า นักเตะชาวสวิสเชื้อสาย ไอเวอรี่ โคสต์ จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของเวนเกอร์สำหรับแผงหลังของทีมปืนโต เพราะเขาไม่ต้องปรับตัวเหมือนกับนักเตะใหม่ กลับมาสามารถเล่นคู่กันคนเหล็กได้เลย..
- ค่าตัว Non
- ความน่าเป็นไปได้ที่ถูกเวนเกอร์ดันขึ้นมาเล่นคู่กับคนเหล็ก 60 %


นอกจากผู้เล่นที่กล่าวมาในข้างต้น ยังมีนักเตะอีกหลายรายที่พร้อมจะอาสาเล่นคู่กับคนเหล็ก ไม่ว่าจะเป็น โซล แคมป์เบล ที่กลับมาคราวนี้ได้ใจแฟนๆปืนไปเต็มๆ ฮาวาร์ด นอทเวียท กลับมาจากการยืมตัวกับทีมเนิร์นแบกพร้อมกับประสบการณ์ที่โชกโชนในศึกบุนเด สลีก้า หรือผู้เล่นรายอื่นที่ตกเป็นข่าวกับทีมเรา เช่น มาร์ติน คาเซเรส ปราการหลังดาวรุ่งของทีมบาเซโลน่า คริสโตเฟอร์ เม็ตเซลเดอร์ที่จะหมดสัญญากับทีม รีล มาดริด ...

แล้วสำหรับคุณ คิดว่าใครเหมาะสมที่สุด ที่จะเป็นคู่หูคนเหล็กรายต่อไป ?



อะๆ ถ้ากัลลาสเกิดตัดสินใจจรดปากกาต่อสัญญากับทีมปืนใหญ่ต่อไปอีกละ สกู๊ปนี้แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย 555+



NEVERDIE CLUB

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

Eduardo (เพชรฆาต ถอดวิญญาณ)



เอดูอาร์โด้ หรือ ดูดู้ ผมรู้จักศูนย์หน้าทีมชาติโครเอเชียเชื้อสายบราซิลรายนี้ครั้งแรก ในเกมรอบคัดเลือก UCL นัดที่2 ปี 2006 ศูนย์หน้าตัวเก่งของทีม ดินาโม ซาเกร็บ ในสมัยนั้น ใช้เวลาแค่ 12 นาที ทะลุงเปิดซิงตาข่าย สนามเอมิเรตส์ สเตเดี่ยม อย่างเป็นทางการได้เป็นประตูแรก ก่อนที่จะจบเกม ทีมไอ้ปืนใหญ่ทำ 2 ประตูรวด พลิกกลับมาแซงชนะ 2-1

ชายร่างเล็กไม่ได้มีวีรกรรมเพียงแค่นี้ เขายังเคยทำแสบทีมชาติอังกฤษ โดยเป็นผู้โหม่งพังประตูแรก ในเกมที่พอล โรบินสัน โชว์เอ๋อเตะบอลว่าว ลูกฟุตบอลบอลวิ่งไปซุกตาข่ายอย่างสุดฮา จบเกมทีมสิงโตคำรามบุกมาพ่ายทีมตราหมากรุก 2-0 และในเกมนั้นก็เป็น จุดเริ่มต้นให้ทีมอังกฤษยุคของแม็คคลาเลน ตกรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโร 2008 อย่างสุดเซอร์ไพรท

เอดูอาร์โด้ ดาซิลวา ถูก อาแซน เวนเกอร์ คว้าตัวมาร่วมทีมปืนใหญ่ ด้วยค่าตัวประมาณ 8 ล้านปอนด์ หลายฝ่ายต่างคิดในทำนองเดียวกันว่า เวนเกอร์ ดึงดูดู้มาเพื่อทดแทนการจากไปของ ราชาทีมปืนใหญ่ เธียร์รี่ อองรี!!!

ในฤดูกาลแรกของชายชาวโครแอต เขารับบทบาทเป็นเพียงพระรองของ ฟาน เพอร์ซี่ย์ และ อเดบายอร์ เท่านั้น อย่างเก่งที่สุด!!! ก็ได้เป็นผู้เล่นตัวหลักในศึกคาร์ลิ่งคัพ โดยรับบทบาทเป็นศูนย์หน้า ซึ่งมีคู่ขาร่างโย่ง ชื่อเล่นว่านิคกี้ (นิคลาส เบนด์เนอร์)

ผมยังจำได้ดีอตีตนักเตะ ดินาโม ซาเกร็บ รายนี้เป็นศูนย์หน้าที่อันตรายมาก เมื่ออยู่ในบริเวณกรอบเขตโทษ เขาเปรียบเสมือนปราวาฬเพชรฆาต พร้อมที่จะลงโทษกองหลังทีมคู่แข่งทันที ถ้าเปิดโอกาศให้เขา..

เหมือนฟ้าจะเปิดทางให้เอดูอาร์โด้ แจ้งเกิดในเวทีพรีเมียร์ลีก เมื่อ R.V.P ได้รับบาดเจ็บหนัก ต้องพักยาวหลายเดือน จึงเปิดโอกาศให้ดูดู้ รับบทบาทเป็นศูนย์หน้าตัวจริงของทีมไอ้ปืนใหญ่ ในเกมพรีเมียร์ลีกอย่างต่อเนื่อง ลูกที่ดูดู้กระโดดวอลเลย์ ทำประตูทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างสุดสวยงาม ยังตราตรึงใจเหล่าสาวกเดอะกูนเนอร์สไม่ลืมเลือน ถ้าจำไม่ผิดลูกนั้น เป็นประตูสวยงามประจำเดือนของ EPL เลยหล่ะ


ชีวิตนักฟุตบอลก็เหมือนนิยายน้ำเน่าเหมือนกัน เอดูอาร์โด้ เริ่มสร้างชื่อกับตัวเองในลีกผู้ดี ผลิตสกอร์ได้อย่างต่อเนื่อง แต่กลับมีจุดเปลื่ยนครั้งสำคัญ ในชีวิตการค้าแข้งของเขา เมื่อดูดู้ได้รับบาดเจ็บหนัก จากจังหวะที่ถูก มาร์ติน เทย์เลอร์เสียบหนัก ข้อเท้าหักต้องพักยาว แบบไม่มีกำหนด!!! และในเกมนั้นเองก็เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบ ทำให้ทีมปืนใหญ่ชวดแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่อุส่าห์ ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงมาก่อน

หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บนานร่วมปีกว่า กลับมาคราวนี้ เอดูอาร์โด้ก็ดูเหมือนเป็นนักเตะกระดูกยุงไปเลย เล่นเพียงไม่กี่นัด ก็ได้รับบาดเจ็บเพิ่มอีก ต้องพัก
ไปอีกหลาย สัปดาห์ อาการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆอย่างนี้ วนเวียนอยู่กับชีวิตนักเตะของเขาในถิ่นปืนโต

ไม่ใช่เพียงแค่อาการบาดเจ็บเล็กๆน้อยรบกวนดูดู้อย่างเดียว แต่สัญชาตญาณการถล่มประตูของเขา ก็ดูเหมือนจะทิ้งไปกับอาการบาดเจ็บหนักครั้งที่แล้ว!!!

เพราะอะไรหรอครับ ที่วิญญาณเพชรฆาต ของเอดูอาร์โด้ จึงหายไป ไม่เหมือนกับเอดูอาร์โด้คนก่อน?

วิเคราะห์ง่ายๆครับ เพราะ ดูดู้ยังเกิดอาการแหยงอยู่ จังหวะที่กองหลังเข้าประทะ 50 : 50 แน่นอนดูดู้ไม่กล้าเสี่ยงเข้าแลกแน่ จึงส่งผลฟอร์มของดูดู้ในสนาม ที่บางครั้งคิดช้าทำช้า บางจังหวะไม่กล้าเล่นเอง ดูยังไงๆก็เหมือนคนที่ขาดความมั่นใจ....

และอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ ดูดู้ฟอร์มการถล่มประตูไม่ฮอตเหมือนปกติ คือระบบแผนการเล่น 4-4-3 ที่ดูดู้รับบทบาทเป็นศูนย์หน้าตัวกลาง ด้วยรูปร่างเขาที่เล็กกระทัดรัด ทำให้โดดเดี่ยวในแดนหน้า ขาดคู่ขารู้ใจที่คอยป้อนชง ให้เขาถล่มประตู

ตั้งแต่หมดยุคของคิงอองรี อเดบายอร์ก็สานต่อ สำหรับหน้าที่ตัวจบสกอร์ของทีม แต่แล้วอีกไม่นานไอ้สากทรยศก็เกิดย้ายทีมกระทันหัน โดยไปโกยทรัพย์กับทีมเศรษฐีเรือใบ !!!

ทีนี้เกิดเรื่องซิครับ เพราะไล่ตั้งแต่ยุคของเวนเกอร์ ไม่เคยขาดศูนย์หน้าจอมถล่มประตูชั้นดี ไล่ตั้งแต่ เอียน ไรท์, นิโคล่าห์ อเนลก้า, เธียร์รี่ อองรี รวมไปจนถึง ไอ้สากทรยศ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ นักเตะพวกนี้ทำประตูเฉลี่ยใกล้เคียง หรือเกิน 20 ประตู ต่อฤดูกาล ...

ทีนี้ลองมาไล่ดูศูนย์หน้าในทีมชุด ปัจจุบันสิ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ย์ เขาเป็นศูนย์หน้าจอมเทคนิคมากกว่า ศูนย์หน้าจอมถล่มประตู และอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้เพอร์ซี่ไม่ใช่ผู้เล่นที่ฝากผีฝากไข้ สำหรับตัวถล่มประตูให้กับทีมเรา คือ เพอร์ซี่มักได้รับบาดเจ็บบ่อย แทบๆจะทุกๆฤดูกาล ทั้งที่ฟอร์มการทำประตูของเขาเริ่มจะดี...

นิคลาส เบนด์เนอร์ ชื่อนี้แฟนๆยิ่งส่ายหน้า ถึงแม้เขาจะพังประตูสำคัญๆให้กับทีมเราอยู่เสมอ แต่เมื่อดูค่าเฉลี่ย จำนวนนัดที่ลงเล่นกับจำนวนประตู ซึ่งดูน้อยมาก กับตัวจบสกอร์ความหวังของทีม

อังเดร อาร์ชาวิน ไม่ใช้หน้าเป้าธรรมชาติ คาลอส เวล่า ยังดูน้อยประสบการณ์ยิ่งนัก หรือจะพึ่งศูนย์หน้าตัวใหม่อย่าง มารูยาน ซามัคห์ ที่ค่อนข้างย้ายมาร่วมทีมปืนใหญ่อย่างแน่นอนแล้ว แต่สถิติการทำประตูของชายชาวโมร็อคโกรายนี้ ก็ยังเป็นเครื่องหมายคำถามอยู่?

สุดท้ายครับ
สำหรับผู้เล่นความหวังในการถล่มประตูให้กับทีมปืน ใหญ่ น่าจะตกอยู่กับชายที่ชื่อว่า เอดูอาร์โด้คนนี้ ผู้ที่เคยมีสถิติเฉลี่ยทำประตูได้ทุกนัดที่ได้ลงสนาม ในสมัยที่เขาค้าแข้งอยู่กับทีม ดินาโม ซาเกร็บ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าปีหน้าเวนเกอร์จะเก็บดูดู้ไว้กับทีมหรือเปล่า เพราะฟอร์มของเอดูอาร์โด้ในฤดูกาลนี้ น่าผิดหวังจริงๆ

ใจจริงผมอยากให้เวนเกอร์เก็บดูดู้ไว้นะ เพราะว่าปลาวาฬเพชรฆาต ถึงแม้มันจะบาดเจ็บอย่างไร จะป่วยยังไง เมื่อมันหาย สัญชาตญาณของมันก็ออกล่าเหยื่ออยู่ดี ซึ่งเหมือน เอดูอาร์โด้ ณ.ตอนนี้ ที่วิญญาณเพชรฆาตดูเลือนหายไป แต่เมื่อความมั่นใจของเขากลับมาเมื่อไหร่ ดูดู้ก็พร้อมที่จะถล่มประตูให้กับทีม...


NEVERDIE CLUB

วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

รวมฮิต [นักเตะปืน เปิดตัวปุ๊ปยิงได้ปั๊ป]

ก่อนอื่นต้องขอกล่าวสวัสดีทุกท่านๆ ทั้งพี่น้องแฟนปืนและแฟนทีมอื่นๆด้วยละกันครับ วันนี้เนเวอร์ดายคอลัมน์จะขอขุดนำเอาสถิติของนักเตะปืนใหญ่ ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่เปิดตัวกับทีมชุดใหญ่อย่างเป็นทางการนัดแรกแล้วยิงได้เลย ว่ามีใครกันบ้าง...

ในอดีตถึงปัจจุบัน ถ้านับรวมกันแล้วมีนักเตะของทีมปืนใหญ่ตั้ง 85 ราย ที่เปิดตัวกับสีเสื้อของทีมปืนใหญ่นัดแรก แล้วยิงได้เลย ซึ่งถ้าผมนำเอานักเตะทุกรายมาทำเป็นสกู๊ป คงจะยาวเป็นหลาย 10 หน้าแน่ เพื่อความกระชับของบทความ ผมจึงขอนำเสนอนักเตะในยุคใหม่ ที่แฟนๆเดอะกันเนอร์สยุคนี้ พอรู้จักกันบ้างมา 6 ราย ว่ามีใครบ้าง ไปติดตามชมกันครับ..



1. Niall Quinn
ไนออล ควินน์ อดีตนักเตะร่างโย่งของทีมปืนใหญ่ ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นประธานสโมสรทีม "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์ อยู่กับทีมอาร์เซนอลนานร่วม 7 ปี ตั้งแต่คศ.1983- 1990 โดยลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ไปทั้งหมด 94 นัด ทำประตูไปได้ 20 ประตู และนัดแรกอย่างเป็นทางการ กับการเป็นนักเตะอาชีพของเขา ไนออล ควินน์จัดการซัดประตูทีมลิเวอร์พูล ช่วยให้ทีมอาร์เซนอล เปิดรังไฮบิวรี่ต้อนทีมหงส์แดงไปอย่างสบายเท้า 2-0



2.Freddie Ljungberg
เฟรดริก ลุงเบิร์ก อดีตปีกขวาจอมถล่มประตูของทีมปืนใหญ่ ย้ายมาร่วมทัพ "เดอะ กันเนอร์ส" ในปี 1998 จากทีม ฮัมสตั๊ดส์ บีเค ในลีกบ้านเกิดของเขา อาแซน เวนเกอร์ เห็นฟอร์มของนักเตะนายแบบกางเกงในยี่ห้อดัง จากผ่านการดูถ่ายทอดสด ในเกมที่ทีมชาติอังกฤษ ชนะทีมสวีเดน โดยที่ไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวมาก่อน กุนซือหน้าเหี่ยวประทับใจกับฟอร์มลุงเบิร์กเป็นอย่างมาก จึงจัดการเดินเรื่องให้สโมสรคว้าเขามาร่วมทีมในที่สุด และนักเตะจอมเซ็กส์ซี่ก็ไม่ทำให้แฟนๆผิดหวัง เปิดตัวกับทีมปืนใหญ่นัดแรก จัดการสอยประตูทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฐานะนักเตะสำรอง จบเกมทีมปืนใหญ่ถล่มทีมปีศาจแดงอย่างยับเยิน 3-0



3.Emmanuel Adebayor
เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ อดีตศูนย์หน้าสากกระเบือของทีมไอ้ปืนใหญ่ ย้ายสังกัดจากโมนาโกมาสู่ทีมอาร์เซนอล ช่วงเปิดตลาดรอบ 2 ในฤดูกาล 2005-2006 เนื่องจากเจ้าตัวงอนต้นสังกัด ที่เซ็นสัญญาศูนย์หน้ามาใหม่ 2 ราย ทีมโตโกตกรอบในศึกแอฟริกัน เนชั่นคัพ อเดบายอร์นักเตะจอมเกเรไม่กลับไปรายงานตัวกับทีมต้นสังกัด โมนาโก เวนเกอร์จึงสบโอกาส อาศัยช่วงจังหวะนี้ เซ้งอดีตกองหน้าจอมทรยศมาอยู่กับทีม ด้วยราคาอันแสนคุ้มแค่ 7 ล้านปอนด์ นัดแรกของแข้งโตโกรายนี้ คือเกมที่ทีมปืนใหญ่ออกไปเยือนถิ่น เซนต์ แอนดรูวส์ อเดบายอร์ได้รับโอกาสจากเวนเกอร์ให้เป็นผู้เล่นตัวจริง และเขาก็ไม่ทำให้เวนเกอร์ผิดหวังช่วยโขก 1ประตู จบเกมทีมปืนใหญ่บุกมาชนะทีมลูกโลกคาถิ่น 2-0



4. Samir Nasri
ซามีร์ นาสรี่ มิดฟิลด์จอมเทคนิคของทีมอาร์เซนอล เริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งกับทีม โอลิมปิค มาร์กเซย ตั้งแต่เป็นนักเตะชุดเยาวชน จนเลื่อนมาถึงชุดใหญ่ นักเตะเชื้อสายแอลจีเรียรายนี้ ถือเป็นนักเตะดาวรุ่งพรสวรรค์สูงคนหนึ่ง ของลีกเอิง ฝรั่งเศส นาสรี่เคยได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยื่ยมของลีกเอิง ในฤดูกาล 2006- 2007 เวนเกอร์ประทับฝีเท้าของอดีตดาวรุ่งโอแอมมานานแล้ว จึงคว้าตัวมาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์ ปี2008 ด้วยค่าตัวประมาณ 12 ล้านปอนด์ นัดเปิดฤกาล 2008- 2009 ทีมปืนใหญ่เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือน ของทีมเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน นาสรี่ช่วยซัดประทูโทนให้กับทีมปืนใหญ่ เปิดบ้านเฉือนเวสต์บรอม อย่างหวุดหวิด 1-0



5.Thomas Vermaelen
โทมัส แฟร์มาเล่น ปราหลังของทีมปืนใหญ่ในชุดปัจจุบัน ย้ายมาอยู่ในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี่ยม ช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมา ท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของแฟนบอล เพราะแฟร์มาเล่นไม่เคยตกเป็นข่าวมาก่อนหน้านี้ ว่าจะย้ายมาร่วมทัพปืนใหญ่ อดีตกัปตัน อาแอ็กซ์ สร้างความประทับใจให้กับแฟนเดอะกันเนอร์ส ตั้งแต่นัดแรกที่ประเดิมสนาม ไอ้คนเหล็กขึ้นมาโขกพังประตูที่ 2 ของเกม สุดท้ายจบเกม ทีมอาร์เซนอลบุกมายัดเยียดความปราชัยให้กับทีมเอฟเออร์ตัน คาถิ่นกูสันปาร์คอย่างสุดมันส์ 6-1



6. Sanchez Watt
ซานเชซ วัตต์ เป็นผลิตผลจากอเคเดมี่ของทีมปืนใหญ่ เจ้าหนูผิวหมึกรายนี้ เปิดตัวกับทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในเกม คาร์ลิ่งคัพ ที่ทีมอาร์เซนอลเปิดบ้านเอาชนะทีมเวสต์บรอมไปอย่างสบายเท้า 2-0 โดยที่เจ้าตัวยิงซ้ำจากลูกยิงของ คาลอส เวล่า ซึ่งวัตต์เป็นผู้เล่นรายล่าสุด ที่เปิดตัวกับทีมชุดใหญ่ของทีมอาร์เซนอล แล้วทำประตูได้เลย

..................

ทำเนียบนักเตะที่เปิดตัวกับทีมชุดใหญ่ของอาร์เซนอล แล้วทำประตูได้เลย
Graham Rix Leicester City Apr 2, 1977
Wilf Rostron Newcastle United Mar 18, 1975
Brian Kidd Leicester City Aug 17, 1974
Peter Marinello Manchester United Jan 10, 1970
George Graham Leicester City Oct 1, 1966
Jon Sammels Blackpool Apr 27, 1963
Joe Baker Leyton Orient Aug 18, 1962
Terry Neill Sheffield Wednesday Dec 23, 1960
George Eastham Bolton Wanderers Dec 10, 1960
Geoff Strong Newcastle United Sep 17, 1960
Len Julians Luton Town Dec 26, 1958
Jackie Henderson West Bromwich Albion Oct 4, 1958
Tommy Docherty Burnley Aug 26, 1958
Vic Groves Sheffield United Nov 12, 1955
Derek Tapscott Liverpool Apr 10, 1954
Donald Oakes Aston Villa Aug 23, 1952
Peter Goring Chelsea Aug 24, 1949
Alex Forbes Wolverhampton Wanderers Mar 6, 1948
Ronnie Rooke Charlton Athletic Dec 14, 1946
A Farr v Derby County Apr 29, 1939
R Cumner v Wolves Sept 17, 1938
B Jones v Portsmouth Aug 27, 1938
G Bremner v Leeds Utd Apr 9, 1938
R Lewis v Everton Jan 1, 1938
L Jones v Grimsby Town Nov 6, 1937
D Nelson v Preston NE Dec 28, 1936
D Compton v Derby Co Sep 26, 1936
E Rodgers v Middlesbrough Apr 19, 1935
A Kirchen v Tottenham Hotspur Mar 6, 1935
R Davidson v Stoke City Feb 20, 1935
J Crayston v Liverpool Sept 1, 1934
T Drake v Wolves Mar 24, 1934
R Bowden v Wolves Mar 18, 1933
R Parkin v Sunderland Jan 1, 1929
C Jones v Sheff Wednesday Aug 25, 1928
J Brain v Tottenham Hotspur Oct 25, 1924
J Hopkins v West Brom Mar 29, 1921
J North v Oldham Athletic Feb 7, 1920
F Bradshaw v Glossop NE Sept 1, 1914
H King v Glossop North End Sept 1, 1914
C Bell v Leicester Fosse Dec 27, 1913
J Rutherford v Nott’m Forest Nov 1, 1913
G Jobey v Leicester Fosse Sept 6, 1913
E Hanks v Bradford City Oct 26, 1912
W Rippon v Man United Sept 1, 1910
C McGibbon v Chelsea Mar 28, 1910
W Buckenham v Bristol C Nov 20, 1909
C Lewis v Sunderland Dec 28, 1907
P Kyle v Manchester City Sept 1, 1906
B Freeman v Nott’m Forest Nov 25, 1905
J Blair v Liverpool Sept 2, 1905
A Crowe v Sheff Wednesday Oct 29, 1904
W Busby v Man Utd Oct 3, 1903
W Bradshaw v Blackpool Nov 8, 1902
M Connor v Preston NE Sept 6, 1902
T Fitchie v Gainsboro Trinity Feb 8, 1902
I Owens v Gainsboro Trinity Oct 12, 1901
J Laidlow v Burnley Sept 21, 1901
A Swann v Barnsley Sept 2, 1901
A Foxall v Barnsley Sept 2, 1901
P Turner v Gainsboro Trinity Sept 1, 1900
J Blackwood v Gainsboro Trinity Sept 1, 1900
H Dailly v Darwen Sept 17, 1898
A Mitchell v Luton Town Sept 3, 1898
J Devlin v Blackpool Jan 1, 1898
D Hannah v Walsall Nov 6, 1897
J Stuart v Luton Town Oct 9, 1897
P Farrell v Grimsby Town Sept 1, 1897
A Steven v Grimsby Town Sept 1, 1897
W White v Grimsby Town Sept 1, 1897
J Monteith v Grimsby Town Sept 1, 1897
A Caie v Burton Swifts Feb 20, 1897
R Gordon v Grimsby Town Sept 2, 1895
C Jenkyns v Grimsby Town Sept 2, 1895
H Boyd v Grimsby Town Sept 10, 1894
P Mortimer v Lincoln City Sept 1, 1894
G Jaques v Northwich Victoria Mar 23, 1894
J Boyle v Northwich Victoria Dec 9, 1893
W Shaw v Newcastle United Sept 2, 1893
..............................................................

ก่อนจบครับ!!! ผมหวังว่า มารูยาน ซามัคห์ นักเตะชาวโมร็อคโก สังกัดทีม บอร์กโดซ์ ที่ค่อนข้างจะย้ายมาร่วมทีมปืนใหญ่อย่างแน่นอนแล้ว จะเป็นผู้เล่นคนที่ 86 ที่เปิดตัวกับทีมอาร์เซนอลนัดแรก แล้วยิงได้เลย555 แล้วคอยดูกัน ?


NEVERDIE CLUB

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความเหมือนที่แตกต่าง ระหว่าง "11บาซ่ากับ11อาร์เซนอล"

ถึงตอนนี้ทุกคนคงทราบแล้วครับ ว่าทีมปืนใหญ่ของพวกเรา ถูกจับสลากโคจรมาพบกับโคตรอภิมหาทีมอย่างบาซ่า แน่นอนอยู่แล้วครับเมื่อทีมปืนใหญ่เจอกับทีมเต็ง1ของรายการถ้วยหูโต ย่อมเป็นงานหนักสาหัสโคตรหินของเหล่าพลพรรคเดอะกันเนอร์ส !!!

ทั้งทีมปืนโตและบาซ่า ต่างถูกยกย่องว่าเป็นทีมที่มีเกมรุกสวยงามเป็นอันดับต้นๆของยุโรป ถึงแม้ยอดทีมจากแคว้นกาลันตันจะทรงประสิทธิภาพมากกว่าทีมอาร์เซนอลอยู่หลาย ขุมก็ตาม แต่ก็ไม่แน่นอนครับลูกบอลกลมๆอยู่ในสนาม มีผู้เล่น22เท้าเท่ากัน อาจเกิดเหตุการณ์ช็อคเล็กๆ ส่งผลให้ยอดทีมจากนอร์ทลอนดอนเข้ารอบเซมิไฟนอลก็เป็นไปได้ วันนี้เนเวอร์ดายคอลัมน์ ขอจับประเด็นความเหมือนที่แตกต่างของ11ผู้เล่นอาร์เซนอลกับ11ผู้เล่นบาซ่า ว่ามีความคล้ายคลึงเหมือนกันอย่างไรไปติมตามชมกันครับ.....





1. อัลมูเนีย VS วัลเดซ

- นักเตะทั้ง 2 รายนี้เป็นชาวสเปนเหมือนกัน
- โอกาสในทีมชาติสเปนดูริบหรี่เหมือนกัน ถึงแม้ว่า วิคตอร์ วัลเดซ จะถูกเรียกติดทีมชาติบ่อยครั้งก็ตาม แต่เขาก็ได้รับเพียงแค่บทพระรองของ อีเคย์ คาซิยาส กับ โฆเซ่ เรน่า นายทวารมือ 1 และ 2 ของทีมชาติสเปนตามลำดับ ส่วนอัลมูเนียยังไม่เคยเรียกถูกติดทีมชาติ แม้แต่ซักครั้งเดียวเลย
- ทั้งคู่ต่างมักเซฟประตูลูกยากๆเหมือนกัน แต่บางครั้งเมื่อเจอลูกง่ายๆนายทวาร ทั้งรายนี้จะออกอาการเหวอให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่ก็ยังได้รับความไว้วางใจให้เป็นนายทวารมือ 1 ของทีม

2. เอบูเอ้ VS อัลเวส
- ทั้งคู่ต่างเป็นแบ็คขวาที่เติมเกมรุกอย่างสุดสะเด่ามาก ลีลาการกระชากลากเลื้อยเหมือนกับปีกธรรมชาติ
- แต่เกมรับของทั้งรายนี้ บางครั้งยังมีปัญหาอยู่ เปิดทางให้คู่แข่งเจาะทางกราบขวาอยู่บ่อยครั้ง และบางเวลาเอบูเอ้กับอัลเวส มักจะทำฟาล์วอย่างโจ่งแจ้งเกินไป ทำให้ทั้งคู่ถูกจดชื่อคาดโทษบ่อยครั้ง

3. คลิชี่ VS อัลบิดัล
- แบ็คซ้ายทั้ง 2 รายนี้ เป็นนักเตะทีมชาติฝรั่งเศสทั้งคู่
- เหมือนกับในคู่ของเอบูเอ้ และ อัลเวส การเติมเกมรุกของทั้งรายนี้ทำได้อย่างมันส์มาก แต่เกมรับมักเป็นบ่อน้ำมันให้คู่แข่งเจาะอยู่สม่ำเสมอ

4. แคมป์เบล VS ปูโยล
- ทั้ง 2 รายนี้เป็นนักเตะอาวุโสมากประสบการณ์เหมือนกัน บิ๊กโซลอายุ 35 ปี ส่วนปูโยลอายุย่าง 32 ปี ทั้ง 2 คนอายุรวมกันเกือบ 70 ปี
- เป็นนักเตะสูงใหญ่เหมือนกัน โดดเด่นในลูกกลางอากาศทั้งคู่ แต่เมื่อเจอศูนย์หน้าทีมคู่แข่งที่คล่องตัว มีความเร็ว ทั้ง 2 รายนี้มักมีปัญหาอยู่เหมือนกัน

5. แฟร์มาเล่น VS ปิเก้
- ทั้งคู่ต่างเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ อายุน้อยอนาคตไกล แฟร์มาเล่นอายุ 24 ปี ส่วนปิเก้ อายุเพียงแค่ 23 ปี
- ต่างเป็นแผงหลังเซนต์บอลดีทั้งคู่ ไม่ค่อยผิดพลาดง่ายๆ อ่านเกมทะลุปรุโปร่ง

6. ซง VS ตูเร่
- ทั้ง 2 รายเป็นนักเตะชาวแอฟริกันเหมือนกัน
- ทางบอลดี ตัดเกมเยี่ยม ครองบอลเหนียวแน่น คู่แข่งแย่งบอลยากมาก ถึงแม้จุดเด่นของทั้งคู่จะไม่ใช่ความเร็วก็ตาม

7. ดิยาบี้ VS อิเนสต้า
- ต่างเป็นนักเตะครองบอลดี เลี้ยงบอลขั้นเทพ พาบอลไปกับตัวได้ดี มักเป็นผู้เล่นดึงตัวประกบให้กับเพื่อน

8. ฟาเบรกัส VS ซาบี้
- เป็นนักเตะทีมชาติสเปนชุดใหญ่ทั้งคู่ ต่างเป็นหัวใจในแดนกลางทั้งสโมสรและทีมชาติ
- จุดเด่นของทั้งรายนี้ คือการอ่านเกมที่เด็ดขาด จ่ายบอลคิลเลอร์พาส ให้กับเพื่อนร่วมทีมทำประตูเป็นอย่างกอบเป็นกำ
- ทั้ง 2 รายนี้เป็นนักเตะไซค์มินิเหมือนกัน แต่ทดแทนด้วยทักษะทางฟุตบอลชั้นสูง

9. อาร์ชาวิน VS เมสซี่
- ต่างเป็นนักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์ทั้งคู่
- เทคนิค ทักษะ และฝีเท้า ระดับอัจฉริยะลูกหนัง เป็นผู้เล่นที่สร้างความแตกต่างให้กับทีม
- จุดเด่นของทั้งคู่เหมือนกัน คือไปกับบอลได้ดี จุดศูนย์ถ่วงต่ำ(ล้มยาก) และมักพังประตูอย่างสุดสวยงามให้กับทีมอยู่เสมอ
- เหมือนในรายของ เซส กับ ซาบี้ คือเป็นผู้เล่นตัวเล็ก แต่ทดแทนด้วยเทคนิคขั้นเทพ

10. วัลคอตต์ VS อองรี
- ต่างเคยเป็นนักเตะทีมอาร์เซนอล (ถึงแม้อองรีจะเป็นอดีตตำนานนักเตะปืนโตก็ตาม)
- ความเร็วจัดจ้านทั้งคู่ ถ้าคู่แข่งเปิดพื้นที่ให้เล่น รับรองถูกกระชากหนีไม่เห็นฝุ่น
- ได้รับโอกาสลงเล่นจากสโมสร ไม่สม่ำเสมอเหมือนกัน เนื่องจากอาการบาดเจ็บของทั้งคู่ จึงส่งผลกระทบถึงฟอร์มการเล่น

11. เบนด์เนอร์ VS อิบราฮิโมวิซ
- เป็นนักเตะที่มีถิ่นกำเนิด จากแถบสแกนดิเนเวียทั้งคู่ เบนด์เนอร์เป็นชาวเดนมาร์ก ส่วนซลาตัน เป็นชาวสวีเดน
- เป็นนักเตะสูงใหญ่ทั้งคู่ เล่นลูกกลางอากาศได้ดี ส่วนบอลภาคพื้นดินก็ไม่เป็นปัญหาเหมือนกัน เลี้ยงบอลดี ครองบอลสุดยอด
- และทั้งคู่ต่างมีข้อเสียคล้ายๆกันคือ บางจังหวะลูกจ่อๆง่ายๆต่อการทำประตู แต่กลับทำหมูหกไปอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะเบนด์เนอร์ ที่ได้รับฉายาใหม่จากแฟนบอลว่า ไอ้สากชมพู 555


ถึงแม้ผู้เล่นบางคนที่ผมนำมาเปรียบเทียบ ในสโมสรจะไม่มีตำแหน่งตัวจริงการันตีก็ตาม แต่เน้น ขอย้ำนะครับ!!! ว่าผมเน้นผู้เล่นที่มีลักษณะหลายๆอย่างที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งเป็นความเหมือนที่บังเอิญคล้ายกัน แทบๆจะเหมือนกันทุกตำแหน่งเลย ซึ่งณ.ตอนนี้ ทุกคนยังไม่รู้ว่าทีมไหนคือของจริง หรือทีมไหนคือของปลอมที่ทำเหมือน แต่บทสรุปท้ายสุดจะอยู่ที่ตอนจบเกมนัดที่ 2 ในถิ่น คัมป์ นู นั่นแหละทีมที่ผงาดเข้ารอบ4 ทีมสุดท้ายไปพบกับ ทีมอินเตอร์ มิลาน หรือ ซีเอสเคเอ มอสโก จะกล้าพูดเต็มปากว่าทีม ข้านี่แหละคือของจริง 555



NEVERDIE CLUB

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

4 เหตุผล ที่ "วัลคอตต์ เหมาะสมเป็นผู้เล่นไอ้ปืนใหญ่"

ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำว่า "สุขสันต์วันคล้ายวันเกิด ครบรอบอายุ 21 ปี นะเจ้าวัลคอตต์" เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ แน่นอนขึ้นชื่อเรื่องมาแบบนี้ พระเอกของเรื่องคงหนีไม่พ้น จรวดทางเรียบของทีมปืนโต เจ้าหนู ธีโอ วัลคอตต์ นักเตะภรรยา เฮ้ย!!! แฟนสวย 555+

หลายคน ทั้งแฟนบอลและนักวิจารณ์ปากกรรไกร ต่างออกมาแสดงทรรศนะเย้ยหยัน เจ้าหนูธีโอว่า มีแต่ความเร็วอย่างเดียว ขาดความเข้าใจเกมลูกหนัง ไร้ซึ่งเทคนิค และลูกพลิกแพลง เมื่อเจอนักเตะทีมคู่แข่งประกบติด ก็ถึงกับเล่นไม่ออก บางคนถึงกับพูดแรงว่า วัลคอตต์ไม่คู่ควร ที่จะสวมใส่ชุดสีแดงขาว ของทีมอาร์เซนอลด้วยซ้ำไป แต่เพราะอะไร อาแซน เวนเกอร์ บรมครูกุนซือลูกหนัง จึงให้โอกาสเขาอยู่อีก กระผมในฐานะสาวกเดอะกันเนอร์มานานพอสมควร จึงขอวิเคราะห์ อ่านใจเวนเกอร์ว่า ทำไม? วัลคอตต์จึงเหมาะสมเป็นผู้เล่นไอ้ปืนใหญ่ ไปติดตามชมกันครับ.....




1.Distinction Player (ตัวสร้างความแตกต่างของทีม)

เหลือบมองดูผู้เล่นแนวรุกของทีมปืนใหญ่ อุดมไปด้วยนักเตะสุดยอดเทคนิคทั้งนั้น อังเดร อาร์ชาวิน , ซามีร์ นาสรี่ , โทมัส โรซิคกี้ ล้วนแต่เป็นสตาร์จอมเทคนิคแถวหน้าของพรีเมียร์ลีก แล้วทำไมเวนเกอร์ จะขอมีผู้เล่นที่เทคนิคน้อย แต่ความเร็วสูงไว้กับทีมบ้างซักคนนึง เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับทีม เปรียบเทียบเหมือนกับอาวุธละครับ ในยามสงครามเรามีอาวุธชนิดเดียวกันเกือบทั้งกองทัพแล้ว ทำไมเราจะมีอาวุธที่แตกต่าง เพื่อเอาไว้ใช้ในสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกันบ้างละครับ โดยเฉพาะวัลคอตต์ เขามีประโยชน์มาก กับเกม Counter Attack (โต้กลับเร็ว) ในเกม UCL หลายปีก่อน ที่ทีมปืนใหญ่พบกับ AC MILAN วัลคอตต์ใช้ความเร็วสูงกระชาก หนีผู้เล่นรุ่นน้าของทีมปีศาจแดงดำ เปิดให้อเดบายอร์ทำประตูได้อย่างสุดสวยงาม นี่แหละครับ คือสถานการณ์ของทีมปืนใหญ่ ที่เหมาะสมกับอาวุธนามว่า ธีโอ วัลคอตต์


2. English Nation (สัญชาติอังกฤษ อิงลิซชน)

เวนเกอร์ถูกวิจารณ์อย่างหนักมาก ว่าเป็นบ่อนทำลายทีมชาติอังกฤษโดยทางอ้อม เพราะลองไล่เรียงดูนักเตะทีมปืนใหญ่ ในยุคของเวนเกอร์ ผู้เล่นอังกฤษแทบจะกลายเป็นส่วนเกินในทีมของเขาไปเลย แน่นอนอยู่แล้วครับ ผู้เล่นอังกฤษขึ้นชื่อว่า ราคาแพงเวอร์เกินกว่าฝีเท้า แถมด้วยเทคนิคอันน้อยนิด มีจุดแข็งแค่สมรรถภาพทางร่างกายอย่างเดียวเสียละกระมัง จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยม สำหรับกุนซือขี้เหนียวอย่างเวนเกอร์ซักเท่าไหร่ ทางFIFAตระหนักถึงเรื่องนักเตะท้องถิ่นเป็นอย่างมาก จึงมีการพูดถึงกฏ 6+5 (6 คือนักเตะท้องถิ่น 5 คือนักเตะต่างชาติ )เพื่อมาแก้ไขวิกฤตินี้ อาละครับถ้ากฎนี้คลอดออกมาจริง นักเตะอย่าง ธีโอ วัลคอตต์ , แจ็ค วิลเชียร์ , คีแรน กิ๊บส์ และ เคล็ก อีสต์มอนส์ จะเป็นประโยชน์ต่อทีมเรามาก ซึ่งผมดูเหมือนว่า เวนเกอร์จะมีแผนรับมือกับกฏนี้ไว้แล้ว ดูได้จากผู้เล่นอคาเดมี่ของทีมปืมปืนใหญ่ณ.ตอนนี้ มีนักเตะสัญชาติอังกฤษ ฝีเท้าดีล้นทีม


3. Nice Guy By Walcott (นักเตะมุ่งมั่น แบบอย่างที่ดี ทั้งในและนอกสนาม)
ผมเคยอ่านประวัติของวัลคอตต์คร่าวๆ น่าเอาแบบอย่างการใช้ชีวิตของเจ้าหมอนี่ ไปเป็นแบบอย่างการใช้ชีวิตของวัยรุ่นทั่วไปซะจริงๆ ธีโอไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอลล์ทุกชนิด ถ้าเขานัดเดทกับเมลานี่แฟนสาวสุดสวย ก็จะใช้ร้านนม หรือร้านเครื่องดื่มช็อคโกแล็ตเป็นที่สวีทหวานกันแฟนสาว ชีวิตส่วนตัวนอกสนามของเขา ไม่ค่อยมีเรื่องเสื่อมเสียมาถึงสโมสร ส่วนชีวิตในสนามก็เหมือนกัน วัลคอตต์ไม่ใช่นักเตะประเภทแบ็ดบอยเล่นนอกเกม และสิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุด เมื่อไม่นานนี้เอง ว้อดเดิ้ลอดีตนักเตะตำนานปีกขวาทีมชาติอังกฤษ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เจ้าหนูธีโออย่างรุนแรง ชนิดแบบว่าถ้าผมโดนด่าแบบนี้ อาจจะเอาเท้ายัดปากคนพูดอยู่เหมือนกัน แต่กลับกันธีโอนิ่งเฉย ตั้งหน้าตั้งตาเล่นต่อไป ใช้ผลงานในสนามตอกกลับว้อดเดิ้ลไปฉากใหญ่ ไม่รู้ว่าตอนนี้ว้อดเดิ้ลยังคงกล้าพูดเหมือนเดิมอยู่อีกไหม นี่แหละครับคือสิ่งที่เวนเกอร์เห็นในตัวเจ้าหนูธีโอ และผมเชื่อว่าเวนเกอร์จะใช้ ธีโอ วัลคอตต์ เป็นแบบอย่างที่ดีกับนักเตะรุ่นน้องในอนาคตต่อไป...


4. New Henry (ราชาคนใหม่ของทีมปืน)

ตอนเริ่มแรกที่วัลคอตต์ก้าวเข้ามาสู่ทีมปืนใหญ่ หลานฝ่ายรวมทั้งเวนเกอร์ออกมาพูดทำนองเดียวกันว่า เด็กคนนี้แหละคือผู้ที่จะสืบทอดตำนานต่อจาก เธียร์รี่ อองรี นักเตะเจ้าของสถิติทำประตูสูงสุดของทีมอาร์เซนอล ด้วยสปีดต้นความเร็วที่สูสีกัน ถึงแม้ทักษะและเทคนิคของเจ้าหนูธีโอจะด้อยกว่าพี่ห้อยอยู่หลายขุมก็ตาม แต่อย่าลืมว่าเจ้าติติ๊ กว่าที่จะเป็นสุดยอดดาวยิง ก่อนหน้านี้เขาต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองมากพอสมควร อองรีเคยรับบทบาทปีกซ้ายในสมัยอยู่กับทีมยูเวนตูส ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร หลังจากนั้นเวนเกอร์ดึงตัวเขามาสู่รั้วไฮบิวรี่ เจ้าห้อยใช้เวลาพักนึงกว่าจะปรับจูนคลื่น จนเป็นดาวยิงสูงสุดของทีม ผมเชื่อครับว่าอีกไม่นาน เวนเกอร์จะปรับให้เจ้าหนู ธีโอ วัลคอตต์ รับบทบาทศูนย์หน้าอย่างเต็มตัว ณ.ตอนนี้เวนเกอร์ให้เวลาวัลคอตต์เก็บเกี่ยวประสบการณ์ เรียกความมั่นใจกับผู้เล่นตำแหน่งผู้เล่นริมเส้นไปเสียก่อน ผมเห็นลูกที่วัลคอตต์เลี้ยงด้วยเท้าขวาก่อนล็อคเข้าเท้าซ้าย ยิงประตูทีมเบิร์นลี่ย์ทางเสาสองอย่างสุดสวยงาม ทำให้อดนึกถึงประตูของอองรี ที่ทำในไฮบิวรี่เป็นประจำไม่หาย ติติ๊เลี้ยงบอลด้วยความเร็วจากเท้าซ้ายก่อนหักเข้าใน แปด้วยเท้าขวาเข้าเสาสองอย่างเหนือชั้น ลูกยิงของทั้ง2คนนี้ช่างคล้ายคลึงกันเสียจริงๆ


แน่นอนครับ ในยามเมื่อนักเตะเล่นไม่ได้ดั่งใจเรา ย่อมมีอารมณ์หงุดหงิดเป็นธรรมดา ผมว่าบ่นได้ครับแต่อย่าถึงกับดูทอว่านักเตะคนนี้ไม่สมควรเป็นผู้เล่นทีมที่ เราเชียร์เลย ผู้จัดการทีมและโค้ชเป็นคนที่รู้จักตัวนักเตะมากที่สุด ถ้าผู้เล่นคนนั้นไม่ดีจริง เขาคงไม่เก็บไว้ร่วมทีมหรอก ดังนั้นเราควรเปลี่ยนจากคำด่าทอมาเป็นการให้กำลังใจเสียดีกว่า สุดท้ายแล้วครับ ผมขอฝากสโลแกนให้กับแฟนบอลทุกๆท่าน

" หยุดใช้(ถ้อยคำ)ความรุนแรง กับเด็ก สตรีและนักฟุตบอลเสียเถอะครับ " ไปแระ 555



NEVERDIE CLUB

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

10 สุดยอดการซื้อนักเตะของเวนเกอร์

ขึ้นชื่ออยู่แล้วครับ สำหรับกุนซือหน้าเหี่ยวรายนี้ ในการประสบความสำเร็จของการซื้อนักเตะในราคาย่อมเยา แล้วนำมาปลุกปั้นให้เป็นนักเตะชื่อดังระดับโลก บางรายถึงขั้นเป็นซุปเปอร์สตาร์ของพรีเมียร์ลีก ไม่ใช่แค่เพียงเท่านี้ เวนเกอร์ยังขายผู้เล่นเหล่านั้นทำกำไรเข้าสู่สโมสรอย่างมากมาย มีรายได้ถึงขั้นสร้างสนามใหม่ ถึงแม้จะกู้เงินบางส่วนมาสร้างสโมสรก็ตาม เอาละครับเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ท่านผู้อ่านลองไปติดตามชม10สุดยอดการซื้อนักเตะของเวนเกอร์ ที่ผมเรียบเรียงมาให้ดูกันเลยครับ.....




1.ปาทริค วิเอร่า (ค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์)
อดีตกัปตันยุคไร้พ่ายของทีมปืนใหญ่ ปาทริค วิเอร่า เป็นผู้เล่นรายแรก ที่เวนเกอร์เซ็นมาร่วมทีมล่วงหน้า ก่อนที่เขาจะมาคุมทีมอาร์เซนอล 1เดือน ด้วยค่าไม่กี่ล้านปอนด์ วิเอร่าใช้เวลานาน 9ปี อยู่กับทีมปืนใหญ่ ช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก หรือเอฟเอคัพ ก่อนที่จะถูกทีม "ม้าลาย" ยูเวนตุสเซ็นสัญญาคว้าตัวไปร่วมทีม ด้วยค่าตัวประมาณ 13.7 ล้านปอนด์




2.มาร์ค โอเวอร์มาร์ส (ค่าตัว 7 ล้านปอนด์)
ปีกความเร็วสูงของทีมเดอะกันเนอร์ เวนเกอร์จัดการดึงตัวมาจากทีม อาแอ็กซ์ อัมส์เตอร์ดัม ด้วยค่าตัวประมาณ 7 ล้านปอนด์ในปี 1997 และในปีแรกของเขา ปีกจรวดทางเรียบก็ช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จคว้าดับเบิ้ลแชมป์ หลังจากนั้นเวนเกอร์ก็ขายเขา ให้กับทีม "เจ้าบุญทุ่ม" บาเซโลน่าด้วยค่าตัวมหาศาล 25 ล้านปอนด์ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดของสโมสรเลย




3.นิโคลาส์ อเนลก้า (ค่าตัว 5 แสนปอนด์)
นักเตะจอมพเนจร นิโคลาห์ อเนลก้า เริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งกับทีม "เปแอชเช" ในลีกบ้านเกิดของเขา เวนเกอร์เห็นแววเด่น จึงจัดการดึงตัวมาร่วมทีมอาร์เซนอล ด้วยค่าตัวอันแสนถูก 5 แสนปอนด์ อเนลก้ามีส่วนช่วยให้ทีมปืนใหญ่คว้าดับเบิ้ลแชมป์ ในฤดูกาล
1997-98 และในช่วงซัมเมอร์ปี 1999 อเนลก้า ถูกทีม "ราชันชุดขาว" รีล มาดริด ซื้อตัวไปด้วยราคา 22.3 ปอนด์ ซึ่งบวกลบคูณหาร ทีมปืนใหญ่ได้กำไรจากอเนลก้าเกือบถึง 22 ล้านปอนด์




4.เฟร็ดเดอริค ลุงเบิร์ก (ค่าตัว 3 ล้านปอนด์)
ปีกขวานายแบบกางเกงใน ย้ายมาจากทีมฮามสตัดส์ ในลีกบ้านเกิดของเขา ด้วยสนนค่าตัว 3 ล้านปอนด์ ลุงเบิร์กถือเป็นผู้เล่นรายต้นๆของเวนเกอร์ ที่ประสบความสำเร็จในการซื้อขาย นักเตะสวิดิชรายนี้ประจำตำแหน่ง แนวรุกทางด้านขวาของทีมปืนใหญ่ ประเดิมนัดแรกก็ยิงทีม"ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้เลย ซึ่งการสอดขึ้นทำประตูเป็นจุดเด่นของเขา ช่วยแบ่งเบาภาระของศูนย์หน้าได้เยอะเลยทีเดียว




5.เอ็นวานโก้ คานู (ค่าตัว 4.5 ล้านปอนด์)
นักเตะชาวไนจีเรียรายนี้ มีปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ ในช่วงสมัยที่ค้าแข้งอยู่กับทีม "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน เวนเกอร์ กุนซือตาเหยี่ยวจึงสบโอกาสเซ้งนักเตะเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิค ด้วยสนนราคาย่อมเยา 4.5ล้านปอนด์ และนักเตะร่างโย่งรายนี้ก็ไม่ทำให้เวนเกอร์ผิดหวัง เทคนิคและทักษะการครองบอลของคานู ทำให้คู่แข่งในพรีเมียร์ลีกปวดเศียรเวียนเกล้ากันเป็นทิวแถว




6.เธียร์รี่ อองรี (ค่าตัว 10.5 ล้านปอนด์)
ศูนย์หน้าปากห้อยรายนี้ เคยร่วมงานกับ อาแซน เวนเกอร์ ที่โมนาโน แต่หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ต่างพลัด ไปร่วมงานกับสโมสรอื่น ก่อนที่จะมาโคจรพบอีกครั้งที่ไฮบิวรี่ อองรีในช่วงก่อนที่มาอยู่กับไอ้ทีมปืนใหญ่ เขาเคยค้าแข้งอยู่ใน"กัลโซ่ ซีรีย์อาร์" กับสโมสร ยูเวนตุส ในตำแหน่งปีกซ้าย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร กุนซือมาดละเมียดจึงดึงตัวเขามาร่วมงานอีกครั้งที่อาร์เซนอล ด้วยสนนราคาประมาณ 10.5 ล้านปอนด์ กับบทบาทใหม่ ศูนยหน้าจอมถล่มประตู ด้วยสถิติการพังทำประตูสูงสุดของสโมสรด้วยจำนวนจำนวน 226 ประตู




7.โรแบร์ ปิแรส (ค่าตัว 6.5 ล้านปอนด์)
นักเตะปีกเคราแพะ จอมพริ้วของทีมไอ้ปืนใหญ่ ย้ายมาร่วมงานกับ อาแซน เวนเกอร์ ในปี2000 จาก โอลิมปิค มาร์กเซย์ ด้วยค่าตัว 6.5 ล้านปอนด์ ปิแรสใช้เวลาไม่นานนัก ก็เข้ามาเป็นขวัญใจของเหล่าสาวก "เดอะกูนเนอร์"ทันที นักเตะสังกัดทีม บียาร์รีล ในปัจจุบัน เคยได้รับรางPFA (นักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก)ในสมัยที่ค้าแข้งอยู่กับทีมอาร์เซนอลด้วย




8.โคโล่ ตูเร่ (ค่าตัว 1.5 แสนปอนด์)
อดีตปราการหลังของทีมปืนใหญ่ ย้ายมาจาก Asec Abid ด้วยค่าตัว 1.5 แสนปอนด์ เริ่มต้นกับทีมอาร์เซนอลด้วยบทบาทศูนย์หน้าื หลังจากนั้นเวนเกอร์ปรับให้เขาไปเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค ตูเร่คือแผงหลังที่อยู่ในชุดไร้พ่าย49นัด ของทีมปืนโต ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ตูเร่ตัดสินใจขึ้นเหนือย้ายไปร่วมทีม "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 14 ล้านปอนด์




9.เซส ฟาเบรกัส (ค่าตัวประมาณ 1 ล้านปอนด์)
กัปตันทีมอาร์เซนอล ในชุดปัจจุบัน เซส ฟาเบรกัส ย้ายมาร่วมทีมปืนใหญ่ ด้วยค่าตัวประมาณ 1 ล้านปอนด์ (เป็นค่าประมาณค่าตัวของฟานบรองฮอส ที่ย้ายสลับกับ เซส ซึ่งก่อนหน้านั่นทีมอาร์เซนอล เซ็นสัญญาฟาเบรกัสมาแบบฟรีๆ เพราะนักเตะอายุยังไม่ถึง 17 ปี ไม่สามารถเซ็นสัญญาอาชีพกับทีมบาซ่าได้ ทีมบาเซโลน่าจึงร้องค่าชดเชย เวนเกอร์จึงส่งฟานบรองฮอสเป็นค่าทดแทน) ผลงานของฟาเบรกัสกับทีมปืนใหญ่ ผมคงไม่ขอสาธยายแล้วหล่ะ เพราะเห็นคุณภาพกันอยู่ ถ้าประมาณค่าตัวของเซสในตอนนี้ น่าจะเกิน 30 ล้านปอนด์อย่างแน่นอน




10.โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ (ค่าตัว 2.75 ล้านปอนด์)
ดัชต์คอนเน็คชั่น ต่อจาก เจ้า"ไอซ์เบิร์ก" เดนนิส เบิร์กแคมป์ ซ้ายสั่งได้ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ศูนย์หน้าเท้าหนัก อดีตนักเตะทีม เฟเนยอร์ด โรบิ้นมีปัญหากับผู้จัดการทีมในสมัยนั้น เวนเกอร์กุนซือจอมฉวยโอกาส จึงเซ็นสัญญา มาด้วยค่าตัว 2.75 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าถูกมากเหมือนกับได้มาฟรี ฟานเพอร์ซี่กับทีมปืนใหญ่ เขาพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเรื่อยๆจนเป็นศูนย์หน้าตัวหลักที่ทีมขาดไม่ได้ (RVPเจ็บยาวเห็นผลกระทบเลย) ค่าตัวของเขาณ.ตอนนี้ น่าจะเกิน20ล้านปอนด์


นอกจากนักเตะ 10 รายนี้แล้ว ยังมีนักเตะอีกหลายคนที่เวนเกอร์ประสบความสำเร็จในการซื้อขาย ไม่ว่าจะเป็น โซล แคมป์เบล ที่เวนเกอร์เซ็นมาฟรี เป็นถึงแผงหลังในชุดไร้พ่าย หรือเอ็มมานูเอล เปอตีย์ ที่ย้ายร่วมทีมมาพร้อมกับโอเวอร์มาร์สด้วยค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์ เป็นแผงกลางชุดดับเบิ้ลแชมป์ของทีมปืนใหญ่ หรือ ไอ้สากทรยศ อเดบายอร์ ที่เวนเกอร์เซ็นสัญญามาจากโมนาโก ด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ ขายให้กับทีมซิตี้ไป 20 ล้านปอนด์ ทำกำไรเห็นๆถึง 13 ล้านปอนด์



NEVERDIE CLUB

มาดูโกลเจ้าของฉายา superman กัน(เหนียวมาก)